ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘
คำว่า การปฏิบัติธรรม ก็คือการขัดเกลากาย วาจา และใจ ของตนเองให้ดีขึ้น มีความสะอาดหมดจดมากขึ้น ถามว่าสะอาดจากอะไร ? ก็สะอาดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง
ถ้าหากว่าเรามาเดินจงกรม มานั่งหลับตา แล้วสะอาดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างไร..? ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วคนเราจะโดนกิเลสชักจูง
ทางใจ..คือความคิด..คือฟุ้งซ่านไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง
ทางวาจา..คือคำพูด..ที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง จะบัญชา
ทางกาย..คือการกระทำ..ซึ่งก็เป็นไปตามที่ รัก โลภ โกรธ หลง จะบัญชา
คราวนี้ถ้าพวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย กิเลสก็บังคับได้แต่แค่เราคิด บังคับให้เราพูดไม่ได้ เพราะว่าเราอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมของผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คือผู้หวังความเจริญ จะทำอะไรที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป อยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ เราก็มีความเกรงใจ มีความละอาย ก็แปลว่าหนทางที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง สามทาง ก็คือ ใจคิด วาจาพูด กายกระทำ ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่คิดอย่างเดียว ก็แปลว่าแค่เรามานั่งเฉย ๆ เราก็ชนะไป ๒ ใน ๓ แล้ว..!
หลายท่านที่รู้จักสังเกต จะเห็นว่าบางคนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ เดินให้พล่านไปหมด..! เหมือนอย่างกับมดอยู่บนกระทะร้อน ๆ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าร้อนเพราะอะไร ? จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ก็คือความจริง ๔ ประการ ประกอบไปด้วย
ทุกข์ ก็คือสิ่งที่เราต้องทน ไม่ว่าจะมากจะน้อย จัดเป็นทุกข์ทั้งสิ้น
สมุทัย คือสาเหตุที่ทุกข์นั้นเกิด เราต้องสร้างเหตุ ทุกข์นั้นถึงเกิดขึ้น
นิโรธ คือความดับสิ้นไปของทุกข์ บางคนคิดวุ่นคลุ้มคลั่งอยู่ ๓ - ๔ วัน อยู่ ๆ เรื่องที่ตัวเองคิดก็หายไปไหนไม่รู้..!?
มรรค คือหนทางที่นำไปสู่ความดับทุกข์
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:04
|