กระผม/อาตมภาพเข้าไปถวายผ้าขะตะที่รับมาในวันแรก แก่องค์พระศรีศากยมุนีพระประธานในวัด ซึ่งองค์ใหญ่โตมโหฬารมาก และถวายเงินทำบุญไป ๕๐๐ งุลตรัม รับเอาน้ำมนต์ที่พระลามะท่านรินถวายมา ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วก็คือต้องกินเข้าไปนิดหนึ่ง แล้วที่เหลือก็ลูบใส่ศีรษะ หลังจากนั้นแล้วค่อยเดินชมสถานที่ภายใน ซึ่งตกแต่งเอาไว้ได้สวยงาม ตามวัฒนธรรมของชาวภูฏาน สถานที่นั้นเป็นหอพระใหญ่โตมโหฬารมาก คาดว่าสามารถที่จะให้พระมาเจริญพระพุทธมนต์กันได้เป็นร้อย ๆ รูปเลยทีเดียว
ภายในทาชิโช ซอง แห่งนี้เคยเป็นที่ขึ้นบรมราชาภิเษกของกษัตริย์จิกมี ซิงเย วังชุก องค์รัชกาลที่ ๔ และกษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน สถานที่ภายในจึงค่อนข้างกว้างขวางมาก
พวกเราถ่ายรูปกันจนแสงหมด จึงได้อำลาอาลัยออกมาข้างนอก แล้วก็เจอต้นไม้แปลก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไม่รู้จัก ลักษณะต้นและลูกเหมือนกับลิ้นจี่ แต่ผลใหญ่กว่าลิ้นจี่เล็กน้อย แต่พอเก็บผลที่สุกตกอยู่กับพื้นมาบิออก เนื้อในกลับเหมือนน้อยหน่าบ้านเรา เสียดายว่าเป็นเวลาค่ำ ก็เลยไม่ได้ลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร ?
บริเวณทางเดินออกของเรานั้น มีสวนกุหลาบที่ปลูกเลียนแบบที่พระราชวังภูพิงคราชนิเวศน์เอาไว้ แต่ว่าการดูแลยังดีไม่เท่าบ้านเรา อาจจะเป็นเพราะว่าทางนี้อากาศหนาวเย็นกว่ามาก ทำให้กุหลาบมีการชะงักงัน ไม่ได้เจริญเติบโตเต็มที่ก็เป็นได้
สำหรับวันนี้ พวกเราจะเดินทางไปยังเมืองหลวงเก่า คือเมืองภูนาคา ซึ่งระยะการเดินทางนั้นอยู่ที่ประมาณ ๓ ชั่วโมงเศษ เราจึงนัดกันด้วยตัวเลข ๖ - ๗ - ๘ ก็คือปลุกเวลา ๖ โมงเช้า วางกระเป๋าหน้าห้องและรับประทานอาหารกันตอน ๗ โมง เริ่มล้อหมุนออกเดินทางตอน ๘ โมงเช้า
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:32
|