ในส่วนของบุคคลที่ฝึกปรือด้านทิพจักขุญาณมา จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูงว่า "เรื่องที่เรารู้นั้น เราสามารถพูดได้เท่าไร" ซึ่งก็มักจะพูดออกไปในลักษณะที่พอเหมาะพอดี แต่ความเสียหายมักจะมาเกิดทีหลัง เนื่องเพราะจะมีบรรดาลูกศิษย์แสนรู้มาคอยขยายความให้..!
อย่างเช่นที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเล่าว่า ท่านเคยเกิดในสมัยโน้นบ้าง ในสมัยนี้บ้าง แล้วก็มีคนมาฟันธงว่าหลวงพ่อเป็นในหลวงรัชกาลนั้น เป็นในหลวงรัชกาลนี้ โดยที่หลวงพ่อท่านไม่ได้พูดสักคำว่าท่านเป็น แต่ในเมื่อลูกศิษย์ไปฟันธงในลักษณะแบบนั้น ถ้าหากว่ามีผู้ที่จะเอาเรื่องขึ้นมา ก็มีหวังอาจจะโดนฟ้องในมาตรา ๑๑๒ เอาได้ง่าย ๆ เนื่องเพราะว่าอยู่ในลักษณะของการแอบอ้างและโหนสถาบัน..!
ดังนั้น..บรรดาลูกศิษย์ที่โง่แล้วขยัน มักจะไปขยายความคำพูดของครูบาอาจารย์ในลักษณะที่อวดว่า "กูฉลาด กูรู้ว่าเรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไร" แล้วก็ไปพูดมากกว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านพูด สร้างความเสียหายให้กับครูบาอาจารย์เป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าคนที่ไม่เชื่อ เขาก็ตำหนิติเตียนด่าว่าเอาได้..!
ส่วนไอ้เจ้าตัวผู้ "หาเหาใส่หัว" หาเรื่องเดือดร้อนให้ครูบาอาจารย์ นอกจากไม่รู้สำนึกผิดแล้ว ยังรู้สึกภูมิใจมาก ที่มีโอกาสได้แสดงความโง่ของตนเองด้วยการขยายคำพูดครูบาอาจารย์ให้คนอื่นเขาฟัง จึงเป็นเรื่องที่ครูบาอาจารย์ต้องปวดหัวกันมาก เพราะว่าบุคคลประเภทนี้ก็มีมากเสียด้วย ก็คือจะอยู่ในลักษณะ "อวดรู้" แล้วในขณะเดียวกันก็ "อวดเก่ง" ไปในตัว กลายเป็นว่าไม่ได้พิจารณาว่าตนเองนั้นแบก "ตัวกู ของกู" ไปเท่าไร
การ "อวดรู้" หรือ "อวดเก่ง" นั่นก็คือสักกายทิฏฐิล้วน ๆ แถมยังแสดงความโง่ด้วยการขยายความ "อวดรู้" "อวดเก่ง" ของตนเองออกไปอีกต่างหาก ทำให้บุคคลที่เลื่อมใส อาจจะเข้าใจผิดตามไปด้วย ส่วนบุคคลที่ไม่เลื่อมใสก็ตำหนิด่าว่าครูบาอาจารย์ของตน จนกลายเป็นโทษกับเขาไปอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ ว่าไม่เคยพิจารณาว่ากาย วาจา ใจ ของตนที่แสดงออกนั้น จะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นอย่างไรบ้าง..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2025 เมื่อ 00:02
|