เรื่องพวกนี้บางทีพระธรรมยุตท่านก็ "ตีกิน" พระมหานิกายไปเรื่อย ทำเหมือนกับว่าเคร่งครัดกว่า น่าเลื่อมใสกว่า ถ้าภาษาจีนบอกว่า "แป่เอี่ย" ก็คือพอกันนั่นแหละ..! ดังนั้น..เรื่องพวกนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องศึกษาให้ชัดเจน ถึงเวลาสามารถที่จะชี้แจงได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไปเจอพระธรรมยุตฉันน้ำมะพร้าวอ่อนหลังเพลอีก..!
กระผม/อาตมภาพไม่ได้ตำหนิในเรื่องของพระธรรมยุตที่ท่านทำตัวเคร่งครัดในศีล เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ความเคร่งครัดก็คือการป้องกันศีลขาดนั่นเอง อย่างเช่นว่าห้ามจับของที่ญาติโยมยังไม่ได้ประเคน หรือยังไม่ได้ให้ เนื่องเพราะว่าถ้าเราเกิดเถยยจิตคิดจะขโมย ขยับเลื่อนออกจากฐานแค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม ถ้าของนั้นราคา ๑ บาท เราก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว..!
การระมัดระวังในศีลนั้นเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่พอปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าเราเคร่งครัด เราดีกว่า ถ้าลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นสีลพัตตุปาทาน ก็คือการยึดมั่นในศีลพรต หรือหลักปฏิบัติของตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น กลายเป็นแบกกิเลสท่วมหัว แทนที่ความเคร่งครัดในการปฏิบัติจะช่วยให้ท่านบรรลุธรรมได้ง่าย ก็กลายเป็นไปแบกกิเลสเอาไว้ จนกระทั่งไม่สามารถจะบรรลุธรรม หรือไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้
เรื่องพวกนี้ทุกท่านต้องทำความเข้าใจว่า หลักการนั้นเป็นเรื่องดี แต่ตัวบุคคลที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการนั้นต่างหากถึงจะสำคัญ ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ทำมาอย่างนี้ แล้วเราก็ทำตาม ๆ กันไป เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์ก็ไม่แน่ว่าจะทำถูก
ถ้าเกิดความสงสัย ให้ไปศึกษาเปรียบเทียบเอาจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะถ้าเรื่องของศีลพระก็ดูในวินัยปิฎก แล้วดูให้ครบถ้วนด้วย ก็คือวินีตวัตถุ ท่านระบุเอาไว้ว่าทำไมถึงต้องอาบัติ ? แล้วยังมีอนาปัตติวาร ก็คือข้อยกเว้นว่าทำไมถึงไม่ต้องอาบัติ อย่างเช่นว่าภิกษุใช้บาตรดันผู้หญิง พระพุทธเจ้าปรับอาบัติสังฆาทิเสส ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จับตัวผู้หญิง ก็เนื่องเพราะว่าท่านเกิดจิตกำหนัดขึ้นมา จะจับด้วยมือก็กลัวว่าจะโดนอาบัติ ก็เลยใช้บาตรแทน..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:27
|