เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ เราก็จะเป็นกำลังส่วนหนึ่งที่จะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ถ้ามัวแต่ไปเกรงใจญาติโยมจนกระทั่งเสียหาย หลายท่านก็สึกหาลาเพศไป ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนาได้ แล้วถึงเวลานั้น ญาติโยมก็ไม่ได้มาสนับสนุน หรือว่าสงสารอะไรเรา เพราะว่าตอนเขามา เขาก็หวังแต่ประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังให้มาก
สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าโยมเริ่มนั่งอยู่ตรงหน้าหลายคนก็จะไล่เตลิดเปิดเปิงหมด จนมีรุ่นน้องบางท่าน ถามว่า "ทำไมหลวงพี่ไล่โยมแบบนี้ ? ผมสิกลัวคนจะไม่รู้จัก" ได้บอกกับท่านไปว่า "ถ้าท่านสามารถบวชอยู่ต่อไปข้างหน้าได้สัก ๑๐ ปี รู้จักคนสักปีละ ๑๐ คน ครบ ๑๐ ปี ไอ้ ๑๐๐ คนนั่นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ท่านก็ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนแล้ว..!"
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ท่านไปอยู่แห่งหนไหน เพราะว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาเกิน ๓๐ ปีแล้ว แต่คาดว่าถ้าท่านยังอยู่ได้ ก็คงจะอยู่ในลักษณะที่เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดตอนนั้นหมายถึงอะไร
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:29
|