ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนั้น เราเองไม่มีเวลารักษากำลังใจ ถ้าหากว่ากำลังของกิเลสตีกลับเมื่อไร บางคนก็เสียผู้เสียคนไปเลย เพราะว่าจากที่จิตสงบจากรัก โลภ โกรธ หลง จนคิดว่าบรรลุมรรคบรรลุผลกันแล้ว อยู่ ๆ กำลังใจตกลงมาแย่กว่าหมาเสียอีก..!
บางท่านเองถ้าเกรงใจชาวโลก อย่างหลวงปู่เกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านก็ฉันให้เขาคำสองคำ บางทีอาหารหม้อหนึ่งก็อุ่นแล้วอุ่นอีก อุ่นเสียจนกระทั่ง ต้องบอกว่าระเหยหายไปเป็นครึ่ง ๆ เพราะว่าบางทีท่านก็ชิมแค่คำเดียว..!
เราต้องรู้จักระมัดระวังในลักษณะเกรงใจโลกบ้าง ถ้าทำอะไรได้แล้วไม่รู้จักปกปิดตัวเอง จะเข้าในสิ่งที่หลวงปู่จันทร์ กุสโล ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวง แล้วย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ สมณศักดิ์สุดท้ายของท่านก็คือพระพุทธพจนวราภรณ์ รองสมเด็จพระราชาคณะ ท่านบอกว่า "ถ้าดังก็อย่าหวังความสงบ" เนื่องเพราะว่าคนก็จะแห่ไปหาแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น"
ถ้าเมตตามาก เกรงใจคนมาก เราเองก็จะไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมของตนเอง แล้วถ้ากำลังใจไม่ได้หลุดพ้นจริง ๆ เป็นเพียงการใช้กำลังสมาธิกดกิเลสไว้ ถ้ากิเลสตีคืนเมื่อไรก็จะเสียหายมาก เราเสียครูบาอาจารย์ดี ๆ ไปหลายรูปแล้ว เพราะว่าไปกวนท่านแบบหัวไม่วาง หางไม่เว้นนั่นเอง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องรู้ตัวเองด้วย ก็คือถ้าไม่ไหวแล้วยังมัวแต่ไปสงเคราะห์ญาติโยมอยู่ คนที่เดือดร้อนก็จะเป็นตัวเอง..!
ทุกท่านจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเกรงใจโยมหรอก ใครมาหาจะมาเรียกมาร้อง อยากมาพบ ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องระวังกำลังใจของเราเอง พยายามที่จะปลอบใจให้เมตตาโยม ก็เกิดความรู้สึกว่าเราควรที่จะเมตตาต่อตัวเองก่อน ถ้าคนที่ไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะรู้สึกว่าอยู่ในลักษณะเห็นแก่ตัว แต่บุคคลที่ยังไม่มั่นคง แล้วคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่น ก็คงจะช่วยได้ไม่มากนัก ต้องรอความมั่นคงของตัวเองเสียก่อน ว่าช่วยเหลือเขาแล้ว เราต้องไม่เสียหายด้วย..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:28
|