โดยเฉพาะการศึกษายุคใหม่ ที่มี AI เข้ามาช่วยเหลือ ยังโชคดีที่ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ต้องมาตรวจวิทยานิพนธ์ของเด็กยุคนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครได้เกินเกรด C เพราะว่าไปให้ ChatGPT เป็นคนเขียนให้ ซึ่งเนื้อหาไม่มีทางที่จะเหมือนกับที่คนเขียน เพราะว่า AI ได้แต่ดึงข้อมูลเอามารวมกันเท่านั้น จะให้วิเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ก็ยาก ทำแค่แค่สลับเนื้อหาเก่าให้เป็นของใหม่ จะได้ไม่ซ้ำกับของคนอื่นเขา
ลองคิดดูว่าถ้านิสิตนักศึกษาไม่เขียนสารนิพนธ์หรือทำวิทยานิพนธ์ด้วยตนเอง แล้วจะเอาความรู้ความสามารถที่แท้จริงมาจากไหน ? โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่ ถึงเวลาก็ค้นข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ ความรู้ที่แท้จริงในหัวจึงไม่มี ถ้าหากว่าไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือก็มืดแปดด้าน..!
คราวนี้เราลองย้อนกลับมาในวงการสงฆ์ของเราบ้าง ถ้าหากว่าการเรียนของพระภิกษุสามเณรมีเป้าหมายแค่เรียนให้จบ เรียนให้ได้รับประกาศนียบัตรเท่านั้น เพื่อถึงเวลาจะได้มีคุณสมบัติตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ แล้วบุคคลที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริง จะไปบริหารจัดการวัดวาอารามให้เจริญขึ้นมาได้อย่างไร ?
แล้วในขณะเดียวกัน พระภิกษุสามเณรรุ่นใหม่ ๆ มักจะเป็นบุคคลเหลือเลือกจากสังคมแล้ว ก็คือกลายเป็นบุคคลที่หาที่ไปไม่ได้ ส่วนใหญ่บวชเข้ามาก็ไม่ได้คิดที่จะสร้างความเจริญให้แก่ กาย วาจา ใจ ของตนเอง ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุธรรมอย่างที่ปฏิญาณเอาไว้ตอนบวช ก็คือ "นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
ในเมื่อเป็นบุคลากรเหลือเลือก ถ้าเข้าสู่กระบวนการผลิตก็เท่ากับเป็นวัสดุเกรด C เกรด D ที่เขาคัดทิ้งแล้วจากสังคมภายนอก มาผ่านขบวนการขัดเกลา แล้วท่านที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นครูบาอาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ สักแต่ว่าสอบให้ผ่านเท่านั้น โดยไม่มีความรู้ที่แท้จริง จะไปขัดเกลาสัทธิวิหาริก หรืออันเตวาสิกของตนเองให้ดี ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น..ถ้าเราท่านทั้งหลายมีความรับผิดชอบในเขตไหน เราก็ทำหน้าที่ของเราตรงนั้นให้ดีที่สุด โดยเฉพาะทำตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:08
|