ฟังดูแล้วเป็นขั้นเป็นตอนน่าเลื่อมใสมาก แต่แสดงว่าท่านไม่เคยบวชมาก่อนเลยในชีวิต..! เลยไม่รู้ว่าพระครูวิลาศกาญจนธรรมที่บวชมา ๔๐ ปีนั้น ตั้งใจจะบวชแค่ ๗ วันเท่านั้นเอง..! แล้วท่านจะไปแยกแยะอย่างไรว่าใครจะบวชแล้วอยู่นาน ใครจะบวชแล้วอยู่สั้น ? กำหนดวิธีการต่าง ๆ มาก็ล้วนแล้วแต่มีความยากลำบากในการปฏิบัติทั้งสิ้น กลายเป็นว่าช่วยตัดตอนบอนไซให้พระภิกษุสามเณรเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ..!
โดยเฉพาะในเรื่องของการบริจาค ญาติโยมเห็นตู้ก็หยอดบริจาคทำบุญ เห็นคิวอาร์โค้ดก็สแกนทำบุญ แต่ท่านจะให้มีเอกสารระบุว่าทำบุญอันนี้สำหรับเงินส่วนตัวของเจ้าอาวาส ทำบุญอย่างนี้เป็นเงินทำบุญในการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ต้องระบุเจตนารมณ์ให้ชัดเจน เป็นการถอดกางเกงผายลมชัด ๆ..! ไม่คิดเลยว่าบุคคลที่ขึ้นไปเป็นถึงขนาดเสนาบดี ถึงมีความคิดสั้น ๆ แค่นี้ ไม่เคยดูว่าความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร ?!
โดยเฉพาะที่จะมอบหมายให้ สตง.ทำการตรวจบัญชีวัดทุกปี กระผม/อาตมภาพยินดีมากที่ได้ยินอย่างนี้ แต่ท่านรัฐมนตรีได้ถาม สตง.หรือเปล่า ว่ามีกำลังพลเพียงพอที่จะมาตรวจบัญชีพระทุกวัดหรือไม่ ? แล้วขณะเดียวกัน บางวัดจะต้องเดินทางกันข้ามวันข้ามคืนกว่าที่จะเข้าไปถึง จะมี สตง.ที่ไหนยินดีสละความสุขส่วนตนเข้าไป เพื่อที่จะตรวจสอบบัญชีวัด ซึ่งทั้งปีแทบไม่มีรายได้เลยบ้าง ?
เมื่อได้ยินท่านทั้งหลายพูดในลักษณะนี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของพระพุทธศาสนาของเราแท้ ๆ แต่ละคนที่เข้ามา ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถที่จะ "เข้าใจ" และ "เข้าถึง" เลย แล้วจะไปพัฒนาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ?
แม้แต่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบัน ที่ไม่รู้ว่าข้ามห้วยมาจากไหน ? ก็มีความเด็ดขาดที่น่าเลื่อมใสมาก ประมาณว่าถ้าหากว่าใครมีนอกมีในอะไรกับพระ จะจัดการอย่างเด็ดขาด..! แล้วให้ทุกคนช่วยกันดูแลควบคุมวัดวาอารามให้อยู่ในกรอบ กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:08
|