เรื่องพวกนี้ปล่อยคนอื่นเขาปวดหัวกันไป กระผม/อาตมภาพไม่ปวดหัวกับใครหรอก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอันดับแรก ถ้าหากว่าต้องการให้ชี้แจง มั่นใจว่าชี้แจงได้ทั้งหมด
อันดับที่สอง หลายท่านก็เห็นอยู่ว่ากระผม/อาตมภาพกับเงินทองไม่ได้มีวาสนาต่อกันเลย กองอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ล่าสุดนี่ก็เพิ่งจะไปเจอซองปัจจัยที่เขาถวายมา ในงานพระราชทานเพลิงศพพระครูกาญจนกิจธำรง อดีตเจ้าอาวาสวัดพุพง อดีตรองเจ้าคณะอำเภอไทรโยค เนื่องเพราะว่าเป็นคนที่ถึงเวลามีอะไรก็กองเอาไว้ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้นึกถึง อย่างที่เคยเรียนบอกหลายท่านไปว่า ถึงเวลาเก็บกวาดกุฏิทีหนึ่งก็ดีใจทีหนึ่ง เพราะว่าเจอเงินเป็นหมื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็คือเงินกิจนิมนต์ มาถึงแล้วก็โยนกองเอาไว้
วันนี้ในส่วนที่อยากจะพูดถึงก็คือ ในวันก่อนที่พวกเรากรานกฐินกัน แล้วมหาหนึ่ง (พระมหานันทวัฒน์ อคฺคธมฺโม ป.ธ. ๔) ของเรา คว้าผ้าไตรขึ้นมาก็จะอธิษฐานเลย บอกว่าต้องทุบให้จมดินอยู่ตรงนั้น..! ถ้าหากว่าวัดไหนมีการอปโลกน์กฐิน เขาก็จะใช้คำว่า "มอบให้แก่ภิกษุผู้รู้ครุธรรม ๘ ประการ" สรุปว่าน่าจะไม่รู้ ต้องไปศึกษากันใหม่..!
คำว่า ครุธรรม ๘ ประการนั้น บางทีก็เรียกว่า "บุพกรณ์" ก็คือกรณีที่ต้องทำให้ได้ก่อน หรือทำให้สำเร็จก่อน หรือไม่ก็ต้องรู้ให้ครบถ้วนก่อน บางคนก็เรียกเป็น "บุพกิจ" ปนกันให้ยุ่งไปหมด ซึ่งการ "รู้บุพพกรณ์" หรือว่า "รู้ครุธรรม ๘ ประการ" ก็จะประกอบไปด้วย ๑. "รู้การถอนจีวรเก่า" ๒. "รู้วิธีการอธิษฐานจีวรใหม่" อย่างที่เราใช้วิธีการอธิษฐานผ้าสังฆาฏิ ก็ใช้คำว่า "อิมายะ สังฆาฏิยาฯ" แต่พอไปอธิษฐานผ้าจีวร กลับกลาย "อิมินา อุตตะราสังเฆนะฯ" แค่นี้ก็ปวดหัวพอแล้ว อย่าคิดว่าการที่เราอธิษฐานผ้ากฐินจะเป็นเรื่องง่าย ๆ
๓. "รู้ว่าเราจะต้องกรานกฐินอย่างไร" ก็คือเมื่อทำพินทุ อธิษฐาน ครอง แล้วก็บอกกล่าวแก่สงฆ์ว่าได้กระทำโดยถูกต้องแล้ว เพื่อให้สงฆ์ทั้งหลายอนุโมทนา ตรงนี้ยังไม่เท่าไร เพราะว่าเป็นขั้นตอนที่เวลาเจอหลาย ๆ ครั้ง เราก็จะคุ้นชินกันไปเอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-10-2025 เมื่อ 01:54
|