เมื่อเช้านี้ ตอนบิณฑบาตก็ยังได้คุยกับทิดเอ (นายปารมี ภูผาธนโชติ)ที่ตามไปเก็บกับข้าวว่า เรื่องพวกนี้หมอเขาไม่เชื่อเรา ทิดเอก็ยืนยันว่า "ใช่ครับ ผมบอกเมื่อไร หมอเขาก็หาว่าเป็นอุปาทานบ้าง เพี้ยนบ้าง คิดเอาเองบ้าง"
อย่างที่กระผม/อาตมภาพไปอาการกำเริบหนักที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แล้วญาติโยมทนดูไม่ได้ ก็พาเข้าโรงพยาบาล มอ. (โรงพยาบาลสงขลานครินทร์) ปรากฏว่าหมอตรวจทุกอย่างแล้ว สภาพร่างกายดีกว่าคนทั่ว ๆ ไปอีก ทั้ง ๆ ที่ความดันขึ้นจนหูตาแดงไปหมด แต่วัดแล้ว ความดันก็คือ ๑๑๐/๗๐ แข็งแรงโคตร..! แล้วพอวัดอุณหภูมิร่างกาย คนที่ไข้ขึ้นจนหน้าแดงไปหมดขนาดนั้น ปรากฏว่าอุณหภูมิก็คือ ๓๖.๕ องศาเซลเซียส..!
คราวนี้คุณหมอถามประโยคหนึ่งซึ่งกระผม/อาตมภาพรับไม่ได้ ก็คือ "ท่านเป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า ?" กระผม/อาตมภาพแม้รู้ว่าสภาพร่างกายของตนเองย่ำแย่ขนาดไหน แต่ต้องการให้หมอรู้ จึงได้คลายกำลังใจออก ปรากฏว่าความดันตกฮวบเหลือแค่ ๖๐ มิลลิปรอท..! พยาบาลที่กำลังพยายามวัดใหม่ กรี๊ดเสียจนขี้หูลั่น..! ตะโกนว่า "คนไข้ช็อก..!" ทำเอาแพทย์เวร ๔ นายวิ่งมาดูกันหมดเลย..!
กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกว่า "หมอ..บุคคลบางประเภทกำลังของใจเขาควบคุมร่างกายได้ ถ้าหมอตรวจหาไม่เจอ ท่านบอกว่าป่วยเป็นโรคอะไร ก็จ่ายยาตามนั้นไปเถอะ" หมอท่านบอกว่า "โดยจรรยาแพทย์แล้ว ถ้าตรวจหาอาการไม่เจอ ผมไม่สามารถที่จะจ่ายยาได้" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ขอกลับ" หมอถามว่า "ช็อกอยู่ขนาดนี้แล้วจะกลับอย่างไร ?" กระผม/อาตมภาพถามคืนไปว่า "แล้วหมอเห็นคนไข้ช็อกคุยกับหมอแบบนี้มาบ้างหรือยัง ?"
ท้ายสุดก็ขอเวลาหมอ ๒ นาที รวบรวมกำลังใจใหม่แล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถ โดยที่โยมซึ่งเป็นคนไปส่งพยายามบอกว่า "แอ็ดมิทดีกว่าหลวงพ่อ หน้าหลวงพ่อซีดยิ่งกว่าศพอีก ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ไข้ขึ้น หน้าแดงไปหมด" ก็บอกเขาว่า "หมอรักษาไม่ได้ เราก็กลับ เพราะว่าของบางอย่างกรรมบังไว้ บุคคลเดียวที่รักษาด้วยแล้วสบายใจที่สุดก็คือ พันเอกพิเศษ นายแพทย์ นพพร กลั่นสุภา เนื่องเพราะถึงเวลาตรวจหาไม่เจอ คุณหมอในฐานะลูกศิษย์วัดท่าซุงก็บอกว่า "หลวงพี่เป็นอะไรบอกมาเลยครับ เดี๋ยวผมจ่ายยาให้เอง"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:30
|