แต่ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นแค่วาทะในการข่มกันของบรรดาบุคคลสมัยก่อน เนื่องเพราะว่าถ้าหากเป็นบุคคลที่มีภาระงานอยู่ตามบุญสัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์ เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ไม่มีใครอยู่ได้คนเดียว มักจะได้รับคำสั่งจากพระ หรือครูบาอาจารย์ให้ทำโน่นทำนี่เพื่อส่วนรวมอยู่เสมอ ไม่ได้แปลว่าบรรลุแล้วจะไปได้เลย ยกเว้นบางท่านที่มาแบบไร้บุญไร้กรรมสัมพันธ์กันจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น บรรลุมรรคผลแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะเข้าพระนิพพานไปเลย
อย่างที่มีพระอยู่รูปหนึ่งจากจังหวัดราชบุรี ท่านยังอายุไม่มาก แค่ ๓๗ ปี ก็คือบวชมาได้แค่ ๑๗ พรรษา ใช้คำว่าแค่ ๑๗ พรรษา พวกท่านพรรษาเดียวก็จะตายแล้ว แต่ว่าเมื่อท่านเข้าถึงมรรคผลนิพพานแล้ว พิจารณาตั้งแต่ต้นยันปลาย ไม่มีภาระในเรื่องของบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์กับใคร ท่านจึงไปลาหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เพื่อขอเข้าพระนิพพานเลย ก็คือไม่อยากแบกร่างกายที่เป็นทุกข์นี้ไปอีกหลายปี แล้วทำไมต้องไปลาหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ? ขอปล่อยไว้เป็นการบ้านให้ท่านทั้งหลายคิดกันต่อไป
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:24
|