เรื่องพวกนี้เราควรที่จะฝึกฝนเอาไว้ เพราะว่าเป็นคุณแก่ตัวเองทั้งสิ้น สมาธิจะว่าไปแล้ว คุณประโยชน์ใหญ่ก็คือสามารถระงับกิเลสใหญ่ได้ชั่วคราว และเป็นกำลังในการตัดกิเลสให้เด็ดขาด ทุกท่านจะสังเกตว่าถ้ากำลังสมาธิไม่ถึงระดับปฐมฌานละเอียด จะไม่มีกำลังตัดกิเลสในเบื้องต้น ดังนั้น..ต่ำสุดพระโสดาบันจึงต้องมีสมาธิระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ถ้าสามารถทรงฌาน ๔ ได้ยิ่งดี ไม่เช่นนั้นแล้ว กำลังในการตัดสินใจก็ไม่เพียงพอ กำลังในการตัดกิเลสก็ไม่เพียงพอ
ท่านทั้งหลายอาจจะถามว่า "แล้วพระอริยเจ้าที่เป็นสุกขวิปัสสโก ท่านจะสามารถทรงฌานแบบนี้ได้หรือไม่ ?" ต้องตอบว่าท่านทรงฌานแบบนี้ได้ทุกรูป ทุกองค์ ทุกคน แต่ว่าบางทีท่านก็ไม่รู้ตัว เพราะว่าสุกขวิปัสสโก ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นไปในวิปัสสนาภาวนา ก็คือใช้การพิจารณาในการตัดกิเลส ถ้าท่านรู้จักพินิจพิจารณาก็จะเห็นว่า การตัดกิเลสนั้น พอเราพิจารณาลึกเข้าไปเรื่อย ลึกเข้าไปเรื่อย จิตจะดิ่งเป็นสมาธิขึ้นมาเอง แต่ท่านที่เป็นสุกขวิปัสสโกส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีกลายเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว..!
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราซักซ้อมเอาไว้ มีคุณแก่ตัวทั้งสิ้น นอกจากจะพาตัวเองให้พ้นจากเงื้อมมือกิเลสแล้ว อยู่ที่ไหนเราก็เป็นหลักให้กับที่นั่นได้ โดยเฉพาะท่านที่กำลังใจยังอ่อนอยู่ เพราะว่าปกติกำลังใจของคนนั้น แบ่งหยาบ ๆ ได้ ๓ ระดับ
ระดับแย่ที่สุด ก็คือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้
ระดับที่ ๒ ช่วยเหลือตนเองได้ แต่ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้
ต้องถึงระดับที่ ๓ ก็คือช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย ซึ่งนักปฏิบัติธรรมที่ดีควรจะเป็นเช่นนั้น
โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ที่เราต้องเป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขา จะไปเอาตัวรอดคนเดียว แบบที่บางส่วนเขาตำหนิเราว่าเป็น "หีนยาน" ก็คือยานหยาบ ๆ เล็ก ๆ เอาแต่ตัวเองรอดคนเดียว สู้ "มหายาน" คือยานใหญ่ ที่ช่วยแบกชาวบ้านเขาไปด้วยไม่ได้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:22
|