แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ของเราไปนำเอาหลักสูตรที่ผิดพลาดมาสอน แล้วตอนนี้ก็ระบาดไปทั่วประเทศ ก็คือไปเอาหลักสูตรพองยุบมาปฏิบัติ ซึ่งหลักสูตรนี้ปฏิเสธสมาธิภาวนาระดับอัปปนาสมาธิ บอกว่าทำให้ขี้เกียจ..! เราต้องภาวนาอยู่แค่ระดับขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิเท่านั้น โดยอธิบายว่าเหมือนอย่างกับเราเก็บงาทีละเมล็ด นานไปก็มีงาเพียงพอที่จะเอามาคั้นน้ำมันใช้งานได้
กระผม/อาตมภาพเคยถกเถียงท่านอาจารย์ผู้สอนมาแล้วว่า "ในเมื่อผมมีงาเป็นเกวียน แล้วทำไมผมต้องไปเก็บทีละเมล็ดด้วย ?" ท่านก็บอกว่าเราต้องปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ก็คือต้องทำให้อินทรีย์ ๕ และพละ ๕ เสมอกัน จึงจะเกิดผลในการปฏิบัติ ก็คือต้องทำให้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เสมอกัน
ตรงนี้กระผม/อาตมภาพไม่เถียง แต่ถามต่อไปว่าในเมื่อสมาธิของกระผมสูง แล้วทำไมเราไม่ปรับเอา ศรัทธา วิริยะ สติ และปัญญาให้ขึ้นมาเสมอกับสมาธิ ? ทำไมต้องลดสมาธิลงไปด้วย ? ทำเอาอาจารย์ท่านนั้นด่ากระผม/อาตมภาพว่า "เป็นแค่เถรใบลานเปล่า ดีแต่จำตำรามาพูด"
จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสุด ๆ เพราะว่ากรรมฐานสายนี้ทำให้บุคคลหลงเตลิดเปิดเปิงไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ? เนื่องเพราะว่ามักจะอาศัยอธิบายหลักธรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติแล้วเจอสภาวธรรมไปลักษณะของญาณ ๑๖ เริ่มตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ ก็คือ ญาณที่สามารถแยกรูปนามออกจากกันได้ บุคคลใดที่สามารถจับพองยุบได้อย่างชัดเจน เขาถือว่าได้นามรูปปริจเฉทญาณแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าของราคาเป็นล้าน ได้มาแค่สลึงเดียว เขาก็บอกว่าใช่ ก็เลยทำให้สายนี้เตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเข้าดงไปจนกู่ไม่กลับ..!
เพราะว่าบุคคลที่ผ่านระดับญาณ ๑๖ แล้ว เขาถือว่าต่ำสุดต้องเป็นพระโสดาบัน หรือบางท่านใช้คำว่า "จุฬโสดาบัน" ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็น่าจะหมายถึงพระโสดาปฏิมรรค แต่ความจริงแล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่ทันจะจบชั้นอนุบาล ๑ เลย..! แต่ไปทึกทักว่าตนเองผ่านญาณ ๑๖ แล้ว ต้องเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย โดยที่ผ่านในลักษณะสลึงเดียวอย่างที่กระผม/อาตมภาพว่ามานี่แหละ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:55
|