แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ เรื่องของการเรียนทางโลก เราจะรู้ซึ้งมากกว่าหลายเท่า เพราะว่าตำราเหล่านั้นเท่ากับมายืนยันว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร โดยที่ผู้ปฏิบัติธรรมถ้าเข้าถึงจริง ๆ จะรู้ว่าคำพูดหรือตำราไม่สามารถอธิบายสภาวธรรมที่แท้จริงได้ เนื่องเพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือว่าตัวหนังสือจะอธิบายได้ ดังที่บาลีใช้คำว่าปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจักรู้เห็นได้ด้วยตนเอง
อย่างที่กระผม/อาตมภาพยกตัวอย่างอยู่บ่อย ๆ ว่าคำว่า "สุข" ในองค์ฌานนั้น ตำราบอกว่ามีความรู้สึกเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็คืออธิบายได้หยาบมาก..!
ปกติของปุถุชน ซึ่งโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา เร่าร้อนดิ้นรน แต่หาทางออกไม่เจอ เมื่อท่านปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกำลังใจเริ่มทรงตัว อำนาจสมาธิจะกดไฟใหญ่ ๔ กองนั้นให้ดับลงชั่วคราว บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาอยู่ ๆ ไฟดับลง มีความสุขแค่ไหนนั้นอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ เราท่านทั้งหลายจึงควรที่จะศึกษาตำรา ควบคู่กับการปฏิบัติธรรมไปด้วย ถึงจะได้ส่วนที่พึงได้อย่างครบถ้วน
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าร้อยกว่าปีทีผ่านมา ปริยัติและปฏิบัติของเราโดนแยกออกจากกันด้วยหลักสูตรการเรียนของคณะสงฆ์ แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาจนปัจจุบันนี้ ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล็งเห็นจุดอ่อนตรงนี้ จึงได้กำหนดให้ทุกหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ถ้าเข้าไปศึกษาต้องมีการปฏิบัติธรรมประจำปี
อย่างเช่นว่าระดับประกาศนียบัตรก็ต้องปฏิบัติธรรมประจำปี ๑๐ วัน
ระดับปริญญาตรีต้องปฏิบัติธรรมประจำปี ๆ ละ ๑๐ วัน หลักสูตรอย่างต่ำ ๔ ปี ก็แปลว่าก่อนจะจบ ต้องปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างน้อย ๔๐ วัน
ระดับปริญญาโทต้องปฏิบัติธรรมปีละ ๑๕ วัน ก็คือก่อนจบหลักสูตร อย่างน้อยต้องปฏิบัติธรรมได้ ๓๐ วัน เหล่านี้เป็นต้น ปริญญาเอกก็ว่าไปตามหลักสูตรของเขา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:51
|