แต่ถ้าหากว่าขึ้นไปเป็นนักธรรมชั้นโท หลักธรรมก็จะยากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอกนั้น ต้องแตกฉานแล้วเกี่ยวกับการศึกษาธรรมะ เขาเรียกว่าวิชาธรรมวิจารณ์ ก็คือต้องอธิบายขยายหัวข้อบาลีได้ อย่างเช่นเขาตั้งหัวข้อมาว่า "เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ ฯ" เป็นต้น แปลความว่า "สูเจ้าทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ ซึ่งตระการประดุจราชรถ ที่คนเขลาทั้งหลายหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาได้ข้องเกี่ยวไม่" เราต้องอธิบายได้ว่าโลกนี้คืออะไร ? ทำไมเปรียบประดุจราชรถ ? คนเขลาคือใคร ? ผู้รู้คือใคร ? สิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติอย่างแท้จริงคืออะไร ? เหล่านี้เป็นต้น
วิชาต่อไปคือพุทธประวัติและศาสนพิธี เราจะศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ตลอดจนกระทั่งการที่ออกบวชแสวงหาธรรม
เมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระประยูรญาติอย่างไร ? บำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนอย่างไร ? และบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลกอย่างไร ? เป็นการยืนยันว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น มีตัวตนอย่างแท้จริง ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียน เขาให้เรียนย้อนหลังไปเป็นแสน ๆ ปี ตั้งแต่การตั้งวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราชเป็นต้นมา จนกระทั่งไปจบที่การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ รุ่นของพวกท่านก็เรียนไม่ถึงอีก..!
ถ้าหากว่าเป็นนักธรรมชั้นโท ก็เรียนเกี่ยวกับพระมหาสาวก ๘๐ รูป (อสีติมหาสาวก) มี พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เหล่านี้เป็นต้น
ถ้าหากว่าเป็นนักธรรมชั้นเอก ก็เรียนเกี่ยวกับเตรสสาวิกา (ภิกษุณีผู้ใหญ่ ๑๓ รูป) มีตั้งแต่ พระนางปชาบดีโคตมีเถรี เป็นต้น
ส่วนศาสนพิธีนั้น เรียนก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่า เราจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร ถึงถูกต้องตามประเพณีที่ได้ยึดถือกันสืบ ๆ มา โดยเฉพาะถ้าสึกหาลาเพศไป ก็สามารถจะเป็นมัคคนายก นำผู้อื่นในเรื่องของศาสนพิธีต่าง ๆ ได้ ถ้าอยู่ต่อไปก็สามารถให้คำแนะนำในสิ่งที่ถูกต้องแก่ญาติโยมทั้งหลายได้
โดยเฉพาะในส่วนของศาสนพิธีจะมีอยู่ ๔ หมวดก็คือ ศึกษาเกี่ยวกับกุศลพิธี การสร้างบุญให้ตัวเอง อย่างเช่นการที่เรารักษาศีล ๘
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2025 เมื่อ 01:46
|