คราวนี้การเรียงความแก้กระทู้ธรรมนั้น เป็นการเทศน์บนหน้ากระดาษ ซึ่งมีรูปแบบที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องเริ่มต้นอย่างไร ? อธิบายขยายความอย่างไร ? สรุปจบอย่างไร ? โดยที่ยกเอากระทู้ ก็คือหัวข้อบาลีที่เราเตรียมเอาไว้มารับ ให้เนื้อหาผสมกลมกลืนกัน ซึ่งสมัยก่อนใช้คำว่า "เชื่อมกระทู้" ก็คืออธิบายหัวข้อบาลีที่เขาตั้งไว้ให้เราเทศน์ จนกระทั่งชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วก็โยงเนื้อหามาหาหัวข้อบาลีที่เราเตรียมเอาไว้สำหรับรับ
จากนั้นก็อธิบายหัวข้อบาลีที่เราเตรียมไว้รับให้ชัดเจน สอดคล้องกับหัวข้อบาลีตัวตั้ง จากนั้นถึงสรุปจบ ถ้าเป็นนักธรรมชั้นโท ก็ต้องใช้หัวข้อบาลีในการรับ ๒ บท ถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอก ก็ใช้หัวข้อบาลีในการรับ ๓ บท ก็คือยากขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ว่าเป็นการสอนให้พวกเราเขียนกัณฑ์เทศน์ได้ด้วยตนเอง
และโดยเฉพาะบางวัด อย่างเช่นวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร มีแบบธรรมเนียมว่า พระภิกษุใหม่ ไม่ว่าจะบวชมากบวชน้อย ๓ วัน ๕ วันอย่างไรก็ตาม ต้องไปเทศน์โปรดพ่อแม่ตัวเองก่อน ๑ กัณฑ์ ถึงจะอนุญาตให้สึกได้ ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ได้เทศน์กัณฑ์แรกในชีวิตงานนั้นนั่นเอง เนื่องเพราะว่าได้รับมอบหมายให้เป็นพระพี่เลี้ยงนำพระใหม่ไปเทศน์ที่บ้าน แต่พอพระใหม่ขึ้นธรรมาสน์แล้วก็ไปนั่งสั่นอยู่ข้างบน เทศน์ไม่ออก ญาติโยมคงจะทนรำคาญไม่ไหว ก็เลยนิมนต์พระพี่เลี้ยงเทศน์แทน..!
กระผม/อาตมภาพเองก็เพิ่งจะได้พรรษาเดียว ตอนนั้นก็เพิ่งจะเรียนแค่นักธรรมชั้นนวกภูมิและชั้นตรี จึงต้องอาศัยปฏิภาณในการเทศน์ ว่าไปจนกระทั่งจบ จำได้ว่าในยุคนั้นที่ออกกิจนิมนต์แล้ว มักจะได้เงิน ๒๐ บาทเป็นหลัก ก็ถือว่าจำนวนมากที่สุดแล้ว แต่ว่าการเทศน์กัณฑ์แรกในชีวิตได้กัณฑ์เทศน์มา ๗๐๐ บาท..! ที่จำได้แม่นเพราะว่า เป็นการเทศน์ที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย..!
วิชาต่อไปก็คือธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติ เป็นการเรียนหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขาสรุปหัวข้อลงมาเป็นหมวด ๆ ตั้งแต่ทุกะ (หมวด ๒) ก็คือหลักธรรมที่มี ๒ หัวข้อ เช่น หิริ -โอตัปปะ ไปจนกระทั่งถึงโสฬสกะ (หลักธรรมที่มี ๑๖ หัวข้อ) อย่างเช่นว่า มละ ๑๖ ก็คือมลทิน ๑๖ อย่าง ไล่ตั้งแต่ มายา สาเถยยะ ไปเรื่อย ซึ่งสมัยนี้พวกท่านเรียนกันไม่ถึง ต้องบอกว่าความจำแย่ลง กระทั่งหมวดที่เกิน ๕ หัวข้อ ตอนนี้ก็แทบจะไม่ออกข้อสอบกันแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงธุดงควัตร ๑๓ หรือ จรณะ ๑๕ มลทิน ๑๖ อะไรเหล่านั้น
อีกส่วนหนึ่งนั้น สำหรับบุคคลที่จะสึกหาลาเพศไปโดยเฉพาะ เรียกว่า "คิหิปฏิบัติ" เป็นหลักธรรมที่จะเอาไปใช้งานในชีวิตฆราวาส อย่างเช่นว่าต้องรู้จักเว้นจาก อบายมุข ๔ หรือ อบายมุข ๖ ต้องรู้จักในการคบมิตร เพราะมีการบอกชัดว่า มิตรแท้ ๔ ประเภท มีอะไรบ้าง ? มิตรเทียม ๔ ประเภทที่ควรละเว้นมีอะไรบ้าง ? หรือว่าการปฏิบัติต่อทิศทั้ง ๖ ตั้งแต่สมณชีพราหมณ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าบวชอยู่ต่อไปก็จะได้นำไปสั่งสอนญาติโยมให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ถ้าสึกหาลาเพศไปก็จะได้เอาไปปฏิบัติเอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2025 เมื่อ 01:42
|