ในช่วงกลางคือบรรดาท่านทั้งหลายที่ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาในเบื้องต้น ก็คือเล็กกว่าฐานมาก
แล้วช่วงปลายสุดคือบรรดาผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า พร้อมที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล สามารถที่จะยึดหลักธรรมบริสุทธิ์โดยส่วนเดียวก็ได้
แต่บรรดา "นักวิชาเกิน" ของเรานั้นมักจะอวดรู้ ต้องการหลักธรรมบริสุทธิ์อย่างเดียว กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับพระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของวัดท่าขนุน ที่พวกเราเห็นว่างดงาม หุ้มทองปิดทองเหลืองอร่าม แต่บุคคลเหล่านั้นบอกว่าจุดสูงสุดของเจดีย์ก็คือยอดฉัตรข้างบน เอาแค่ยอดฉัตรอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีองค์เจดีย์ก็ได้..!
หรือไม่ก็โบสถ์วัดท่าขนุน ส่วนที่เด่นที่สุดก็คือช่อฟ้า แล้วเขาไปชี้จะเอาช่อฟ้าอย่างเดียว ซึ่งสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้หรือไม่ ? ถ้าไม่มีตัวโบสถ์
เปรียบไปอีกอย่างก็เหมือนอย่างกับว่าบ้านเราเมืองเรา ความรู้สูงสุดคือปริญญาเอก เด็กที่เพิ่งหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ เขาก็ไปบอกว่าพวกนี้เป็นความรู้ที่ต่ำเกินไป ต้องเรียนปริญญาเอกเลย แล้วท่านทั้งหลายเห็นว่าเด็กที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือ จะสามารถเรียนปริญญาเอกได้หรือไม่ ?
ดังนั้น..พวก "นักวิชาเกิน" ที่เรียกร้องหาแต่หลักธรรมบริสุทธิ์อย่างเดียว โดยไม่ได้ดูว่าบริบทในสังคมของเราเป็นอย่างไร ? โดยเฉพาะบุคคลมีถึง ๔ ประเภท ดอกบัวมีอยู่ ๓ เหล่า ซึ่งเรามักจะไปจับมั่วเข้าด้วยกัน กลายเป็นบัว ๔ เหล่าไป ในเมื่อบุคคลยังมีถึง ๔ ประเภท เราก็ต้องให้ยาตามอาการ แล้วประเภทที่โดนตำหนิมากที่สุด ก็คือประเภทที่เขาบอกว่ายึดติดกับพิธีกรรมพิธีการ เป็นคนโง่นั่นเอง..! เรื่องพวกนี้จึงอยู่ในลักษณะ "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" ก็คือยิ่งพูดก็ยิ่งแสดงให้คนอื่นเห็นชัดว่าตัวเองโง่เท่าไร..! แล้วก็ยังไปเที่ยวตำหนิคนอื่นที่คิดเห็นไม่เหมือนกับตนเองว่าโง่..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2025 เมื่อ 01:42
|