ดังนั้น..ข้อจำกัดเหล่านี้จึงมีมากเป็นพิเศษ ทำให้ทุกท่านจะได้เห็นว่าการเป็นมนุษย์นั้นถือว่าอยู่ในภูมิที่เหมาะสมที่สุด ก็คือสามารถสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเองได้ ถามว่าเป็นพรหมเป็นเทวดาสร้างได้ไหม ? ได้..แต่โอกาสมีน้อยกว่ามาก เพราะประการแรก ถ้าหลงเพลินอยู่กับทิพยสมบัติ บางทีก็ไม่ได้ใส่ใจเลย แบบเดียวกับสุปติฏฐิตเทพบุตร มีอายุอยู่แค่ ๗ วัน แต่ก็รื่นเริงอยู่กับทิพยสมบัติ โชคดีที่อากาสจารีเทพบุตรไปเจอเข้าถึงได้ชักชวนไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
หรือไม่ก็ที่สนังกุมารพรหมชักชวนเพื่อน บอกว่าให้ไปกราบฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เพื่อนบอกว่า "เรายิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วยังต้องไปอีกหรือ ?" สนังกุมารพรหมถามว่า "ท่านที่ว่ายิ่งใหญ่นั้นทำอะไรได้บ้าง ?" เพื่อนพรหมก็แผลงฤทธิ์ ๔ พักตร์ ๘ กร เหล่านั้นเป็นต้น สนังกุมารพรหมก็เลยแผลงฤทธิ์ใหญ่กว่าหลายเท่า พร้อมกับบอกว่า "เราเองทำได้ขนาดนี้ยังไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเลย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ดีจริง เราก็ไม่ไปอยู่แล้ว"
เราจะเห็นได้ว่าการเป็นพรหม เป็นเทวดา ไม่ใช่โอกาสที่จะสร้างบุญสร้างกุศล โอกาสที่เหมาะที่สุดก็คือความเป็นมนุษย์ของเรานี่เอง แต่มาสมัยนี้ก็เจอบรรดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ รณรงค์หรือต่อต้านการทำบุญกับพระสงฆ์เสียอีก โดยไปเหมาเอาว่า ทำแล้วทำให้พระสงฆ์ร่ำรวย แล้วก็ทำชั่วกันหมด..!
คราวนี้โอกาสที่พระยายมราชจะปล่อยผีนั้นมีอยู่ แต่ว่ามีอยู่แค่ปีละ ๔ วันเท่านั้น ก็คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา โดยจะให้โอกาส ๓ วัน เฉพาะบรรดาท่านทั้งหลายที่ตกตายแล้วยังไม่ได้ไปรับความดีความชั่ว รอการตัดสินอยู่ที่ตำหนักพระยายมราช จะปล่อยให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไปหาญาติพี่น้องของตนเอง
ถ้าหากว่าได้อนุโมทนาบุญแล้วไปดี พระยายมราชกับนายบัญชีก็ไม่ต้องเหนื่อยมาตัดสินให้ เพราะว่าส่วนใหญ่ก็จะขึ้นข้างบนไปเลย แต่ถ้าไปเจอญาติพี่น้องของตนเองทำบุญไม่เป็น ก็คือทำบุญผสมบาปบ้าง ทำบุญแล้วไม่ค่อยอุทิศให้บ้าง ก็เป็นอันว่ารับประทาน "แห้ว" เต็มพุงกลับมา..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2025 เมื่อ 01:42
|