คราวนี้ในส่วนที่จะอนุโมทนาได้ก็ต้องเป็นเปรต ๑๒ จำพวก ที่ได้รับการลงโทษจนกระทั่งกรรมเบาบางแล้ว จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต
เปตะ คือผู้ที่ล่วงลับหรือตายไปแล้ว ซึ่งอาศัยการยังชีวิตอยู่ด้วยผู้อื่น ก็คือคนอื่นเขาทำบุญแล้วอุทิศให้ถึงจะได้รับ หรือถ้าหากว่าสูงกว่านั้นขึ้นมาก็เป็นอสุรกาย แต่ว่าอสุรกายเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะกลัวคน อสุรกาย แปลว่า ผู้มีกายอันไม่กล้า ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ หากินของเน่าของสกปรก หรือว่าถ้ามีฤทธิ์มีอำนาจหน่อย ประเภทกาลกัญจิกอสุรกายกับมหิทธิกาเปรต ก็อาศัยกินพวกเครื่องเซ่นที่เขาทำเอาไว้ได้
ดังนั้น..เราจะเห็นว่าประเพณี ไม่ว่าจะเป็นงานบุญข้าวสากของพี่น้องชาวอีสานก็ดี งานสารทเดือน ๑๐ ของพี่น้องชาวใต้ก็ดี ซึ่งจะมีการจัด "หมฺรับ" ก็คือสำรับอาหาร ไปถวายพระแล้วก็จัดอุทิศให้กับญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะตั้งใจทำขนมลาเอาไว้สำหรับเปรตโดยเฉพาะ ก็คือเป็นขนมที่เป็นเส้นเล็ก ๆ เหมือนกันเส้นด้าย เพราะเชื่อว่าเปรตมีปากเท่ารูเข็ม ถ้าของชิ้นใหญ่ก็จะกินไม่ได้ แต่ว่าเปรตที่มีปากเท่ารูเข็มใน ๑๒ จำพวกนั้น มีแค่ "สูจิมุขาเปรต" ประเภทเดียว ก็แปลว่าสิ่งที่เราเชื่อกับความเป็นจริง บางอย่างก็ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง
ถ้าหากกล่าวถึงว่าพระยายมราชปล่อยผี บางคนก็บอกว่าปล่อยทุกวันพระ ตรงนี้ก็ไม่ใช่อีก ในเรื่องของการปล่อยผีทุกวันพระนั้น ต้องใช้คำว่า "นายป่าช้า" ก็คือบรรดามหิทธิกาเปรต หรือกาลกัญจิกอสุรกาย ซึ่งมักจะยึดครองความเป็นใหญ่ในสถานที่ ซึ่งก็คือป่าช้าสำหรับฝังศพเผาศพเหล่านั้น แล้วก็ปกครองพวกเปรตอสุรกายอื่น ๆ อยู่ พอถึงเวลาวันพระมีคนทำบุญ ก็จะปล่อยให้บรรดาบริวารของตนที่เป็นเปรต หรืออสุรกาย เหล่านั้น ไปอนุโมทนาบุญ
คราวนี้ก็ไปติดตรงข้อจำกัดที่ว่า ถ้าเขาไม่ได้เจาะจงอุทิศให้ แล้วก็ไม่ได้ให้ผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ก็เป็นอันว่าอด อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้าการทำบุญนั้นผสมด้วยบาป เขาก็ไม่อนุโมทนา เพราะว่าถ้ารับผลบาปไป ยินดีในบาปของคนอื่น ตนเองก็ได้รับโทษเพิ่มขึ้น อย่างเช่นว่าจะทำบุญวันพระ แต่ฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าปลา ล้มวัว ล้มควาย เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2025 เมื่อ 01:40
|