ตอนแรกพระเจ้ากีรติสิริราชสิงหะจะตั้งพระสรณังกรเป็นพระสังฆราช แต่พระสรณังกรรู้ดีว่า บรรดาอุบาสกซึ่งดูแลวัดอยู่ แล้วตอนนี้ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุกันหมดแล้ว คือผู้มีอำนาจตัวจริง จึงขอให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งอุบาสกซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
แต่บรรดาอุบาสกสำนึกตัวดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลื่อมใสท่านสรณังกรเท่านั้น และถ้าไม่ได้ท่านสรณังกรขอไป ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้บวชเป็นพระภิกษุ ก็แปลว่า ถึงอยากได้อำนาจก็ยังเห็นแก่สถานการณ์ใหญ่ จึงพร้อมใจกันกราบทูลพระเจ้ากีรติสิริราชสิงหะ ให้ตั้งท่านสรณังกรขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เราจะคิดว่าท่านเพิ่งจะบวช จะเป็นสังฆราชได้อย่างไร ? ก็เพราะว่าท่านเป็นสามเณรมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ถ้าหากว่าจะนับไป ก็คือเป็นรัตตัญญู (ผู้มีประสบการณ์มาก) ทางพระพุทธศาสนา ตัวจริงเสียงจริง..!
แต่จากที่กระผม/อาตมภาพได้เข้าไปในสถานที่พักของหลวงพ่ออุบาลี ปรากฏว่าพัดยศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของลังกา พระราชทานแก่หลวงพ่ออุบาลีนั้น เป็นพัดยศของพระสังฆราช..! ก็แปลว่ามีศักดิ์เสมอกับสมเด็จพระสังฆราช เพียงแต่ว่าตำแหน่งไม่ใช่เท่านั้น
หลังจากนั้นแล้ว ทางกรุงศรีอยุธยาก็ส่งสมณทูตชุดที่ ๒ นำโดย "พระอริยมุนี" ไป "อริยะ" ไปเพื่อสอนหลักธรรมแก่พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา เราจะเห็นว่าคนโบราณทำอะไรรอบคอบมาก ให้พระอุบาลีไปวางรากฐานพระวินัยอยู่หลายปี บุคคลที่ศีลทรงตัวแล้ว ปฏิบัติธรรมย่อมเกิดผลเร็ว จึงค่อยส่งพระอริยมุนีและคณะไปสอนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้
ไม่เหมือนกับคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันที่ตีเปะปะไปหมด "คาบลูกคาบดอก" ไม่รู้ว่าจะเอาปริยัติหรือว่าปฏิบัติเป็นหลัก จนกระทั่งกลายเป็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ "สะเทินน้ำ สะเทินบก" ขึ้นบกก็เดินไม่ถนัด วิ่งไม่เป็น ลงน้ำก็ว่ายน้ำไม่ถนัด กลายเป็นอะไรที่ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:37
|