นั่นคือลักษณะของบุคคลที่ปัญญาไม่ถึง วิสัยทัศน์ไม่ถึง หรือที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "โหนไม่ถึง" ก็คือ รับรู้ รับฟัง แต่ไม่เข้าใจ มองไม่เห็นหนทางว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้ ก็แบบเดียวกับหลวงพ่อพระครูวิสุทธิ์วรญาณ ที่ทางคณะสงฆ์จัดอบรมการทำบัญชีแล้ว ท่านก็ยังทำไม่ได้ แล้วทุกท่านอย่าไปคิดว่าคณะสงฆ์จัดอบรมแล้ว เขาจะมาอธิบายละเอียดทุกขั้นตอน แล้วปล่อยให้ซักถามทีละจุด เวลาของวิทยากรไม่ได้มากขนาดนั้น และวิทยากรบางท่านก็อธิบายตามที่ตนเองเข้าใจ ก็คือประมาณว่า "กูรู้แล้ว ในเมื่อบอกไป มึงก็ต้องรู้ด้วย..!"
จึงเกิดปัญหาขึ้นมาตรงจุดที่ว่า ถ้าหากว่าไม่ทำ ผู้บังคับบัญชาก็จะเล่นงานเอา เพราะถือว่าไม่สนองงานคณะสงฆ์ แล้วยังมีความผิดตามกฎหมาย ในฐานะเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องเพราะว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หลวงพ่อท่านจึงเครียดจนหาทางออกไม่ได้ และอาจจะประกอบกับกรรมเก่าเข้ามาพอดี ก็เลยตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง หมดเรื่องหมดราวไป..!
เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ก็คือจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าพระผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็คงไม่มีใครยอมรับว่า ตนเองไปกดดันจนหลวงพ่อท่านต้องผูกคอตาย ญาติโยมที่รู้ข่าวหลายต่อหลายราย ก็เข้าไป "คอมเม้นท์" ในลักษณะที่ว่า "เป็นพระแล้วทำไมปล่อยวางไม่ได้ ?" "เรื่องแค่นี้ต้องเครียดจนผูกคอตายเลยหรือ ?" ต้องบอกว่าให้ไอ้คนพูดมาเจอด้วยตนเอง จะได้รู้ว่าเรื่องบางอย่างนั้นปล่อยวางไม่ได้จริง ๆ เนื่องเพราะว่าปัญญาไม่ถึง..!
ดังนั้น..ญาติโยมหลายต่อหลายท่าน พอมาเล่าสถานการณ์ให้กระผม/อาตมภาพฟัง แล้วถามวิธีแก้ไข กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกไปว่า "ไม่มีประโยชน์ที่จะมาถาม เพราะว่ากำลังใจไม่เท่ากัน" เรื่องที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าควรจะตัดทิ้งอย่างเด็ดขาด แต่โยมทำไม่ได้ ถามไปก็ไร้ประโยชน์ เนื่องเพราะว่าระดับกำลังใจไม่เท่ากัน การแก้ไขปัญหาจึงแตกต่างกัน ไม่ใช่ถึงเวลาเห็นท่านอับจนหนทาง แล้วเราก็จะไปตราหน้าว่า "เรื่องแค่นี้หลวงพ่อก็ต้องคิดสั้นด้วย" เชื่อกระผม/อาตมภาพเถอะ..ว่าท่านคิดยาวแล้ว และคิดมาหลายคืนแล้วด้วย..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:22
|