ส่วนบุคคลทั่วไปที่ไม่คิดจะเรียนมหาวิทยาลัย ก็มักจะเข้าเรียนวิทยาลัยครูนครปฐม ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ส่วนตัวกระผม/อาตมภาพนั้นตั้งใจว่าจะเข้ากรุงเทพฯ ไปหางานทำ พอดีว่าช่วงนั้นมีการเปิดโรงเรียนใหม่ ก็คือโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่ง ซึ่งมีการเรียนสายวิชาชีพที่เรียกว่า ปวช. คือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ เรียน ๒ ปีจะได้วุฒิเท่ากับการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕
เมื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงชวนให้ไปเป็นเพื่อนกัน กระผม/อาตมภาพเองทั้งที่ไม่คิดที่จะเรียนก็เตรียมเอกสารไปด้วย ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า"ใบสุทธิ" ซึ่งจะแสดงผลการเรียนของเราอยู่ในนั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณ รบ. (ใบระเบียนแสดงผลการเรียน) ของเด็กรุ่นใหม่ ทันทีที่เห็นคะแนนของกระผม/อาตมภาพ เจ้าหน้าที่ซึ่งรับสมัครบอกว่า "ของเธอไม่ต้องสอบแข่งกัน ทางโรงเรียนรับเข้าเรียนเลย ให้ไปจ่ายค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แล้วเตรียมตัวที่มาเรียนได้"
กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่กลืนน้ำลาย เพราะว่าแค่ ๒๒๐ บาทยังหากันเป็นปี แล้ว ๑,๒๐๐ บาทจะเอาที่ไหนมา ? จึงต้องเดินเข้ากรุงเทพฯ ไปทำงาน ขณะที่พรรคพวกเพื่อนฝูงซึ่งฐานะดีกว่าก็ไปเรียนต่อกัน ซึ่งในสมัยนั้นกระผม/อาตมภาพก็ไม่มีความรู้ เพราะไม่มีการแนะแนวการศึกษา ประกอบกับอยู่ "ไกลปืนเที่ยง" บ้านนอกคอกนาด้วย จึงไม่รู้ว่าการเรียนทหารตำรวจนั้นไม่ต้องเสียเงิน ขอให้สอบข้อเขียนและทดสอบร่างกายของตนเองผ่านก็เข้าเรียนได้แล้ว แถมยังมีเบี้ยเลี้ยงให้เราอีกด้วย..!
ในเมื่อไม่รู้เรื่องว่ามีการเรียนในลักษณะอย่างนั้น จึงต้องไปทำงาน กว่าจะได้เรียนต่ออีกเล็กน้อย ก็ตอนเป็นทหารเกณฑ์แล้วอายุยังไม่เกิน ๒๓ ปี มาได้เรียนจริง ๆ จัง ๆ ก็หลังจากที่มาบวชแล้วนี้เท่านั้น
กระผม/อาตมภาพจึงเห็นความสำคัญในเรื่องของการให้รางวัลเด็ก หรือทุนการศึกษา ถึงขนาดตั้งปณิธานว่าจะให้ทุนการศึกษาให้ครบทั้ง ๓๓ โรงเรียนของอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งในแต่ละปีจ่ายหมดเป็นล้าน ๆ แล้วก็สามารถที่จะทำได้ครบตามที่ตั้งใจเอาไว้ เมื่อ ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมานี้เอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:55
|