หลักธรรมเบื้องต้นก็คือศีล ๕ นี่แหละ ที่พระภิกษุสามเณรของเราต้องนำไปเผยแผ่ และมอบให้กับญาติโยมทุกคนที่เข้าสู่วัดวาอาราม เมื่อจะทำบุญประกอบกิจกองบุญการกุศลใด ๆ ก็ตาม เราจะเห็นว่ามีการสมาทานศีลก่อนทุกครั้ง ก็แปลว่าสถาบันศาสนาของเรา เป็นสถาบันที่สร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติอย่างแน่นแฟ้น เนื่องเพราะว่าถ้าคนไม่ละเมิดศีล ๕ ก็แทบจะอยู่ภายใต้กฎหมายทุกข้ออยู่แล้ว
แต่ก็ยังมีบุคคลที่ต้องบอกว่า "ไอคิวเตี้ย ไอเดียต่ำ ปัญญานิ่ม" ไม่เห็นคุณประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ไม่เห็นคุณประโยชน์ของพระภิกษุสามเณร แล้วมากล่าวจาบจ้วงต่าง ๆ นา ๆ ทั้ง ๆ ที่หลักเบื้องต้นแค่การรักษาศีล ก็ช่วยประเทศชาติไปได้เกินครึ่งแล้ว ถ้ายังมีหลักของสมาธิและการภาวนาเข้าไปอีก ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักระงับยับยั้งไม่ก่อกรรมทำชั่วต่าง ๆ ช่วยให้สังคมของเราสงบสุขร่มเย็น ไม่ใช่ถึงเวลาก็อ้างหลักของศาสนาที่ต้องเข่นฆ่าผู้อื่นแล้วตนเองได้บุญ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น พิจารณาอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่บรรดาท่านทั้งหลายกล่าวหาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาว่า อยู่ในลักษณะของภัยคุกคาม ก็คงจะอยู่ในลักษณะของภัยคุกคาม เพราะว่าช่วยให้ประเทศชาติเป็นปึกแผ่นแน่นหนา จนท่านไม่สามารถที่จะแทรกเข้ามา เพื่อที่จะสร้างความแตกร้าวขึ้นภายในสังคมของเรา แล้วจะได้ฉวยโอกาสเข้ามาครอบงำ ดังนั้น..ถ้าท่านทั้งหลายคิดในลักษณะนี้ จะหาว่าพระภิกษุสงฆ์ของเราเป็นภัยคุกคาม ก็ย่อมถูกต้องในสายตาของท่าน
แต่ว่าแค่เบื้องต้นของเราที่พระสงฆ์จะต้องปฏิบัติสารพัดหน้าที่ โดยที่แทบจะไม่มีงบประมาณมาสนับสนุนเลย หรืออย่างที่กระผม/อาตมภาพรับงบประมาณโครงการลานบุญ ลานปัญญา ตามโครงการของทางราชการมา ๒,๕๐๐ บาท แต่ต้องทำเอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานตลอด ๔ ไตรมาส ก็คือ ๓ เดือนรายงานทีหนึ่ง แค่ค่ากระดาษอย่างเดียวก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว..!
ท่านทั้งหลายยังเกรงว่าพระสงฆ์ของเรายังจะร่ำรวยไปอีก ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นแค่ส่วนน้อย เพราะว่าวัดวาอารามนั้น ๆ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีครูบาอาจารย์เป็นที่เคารพนับถือ ญาติโยมทั้งหลายจึงไปทำบุญด้วยศรัทธา แต่สามารถที่จะกล่าวว่าเป็นการให้โดยเสน่หา ซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายข้อใดเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังโดนกล่าวหาว่าเป็นภัยคุกคาม ท่านทั้งหลายคิดว่ากล่าวแบบนี้แล้วยุติธรรมอยู่หรือ ? เรื่องพวกนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าบุคคลที่เชื่อถือก็ยังเชื่อถือต่อไป ส่วนบุคคลที่ไม่เชื่อถือ พูดจน "ปากฉีกถึงหู" ตามโบราณเขาว่า ก็ยังคงไม่เชื่อถือต่อไป
แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพไม่ได้กังวลใจ เพราะว่าสิ่งที่ท่านคิด สิ่งที่ท่านพูด และสิ่งที่ท่านทำ จะแสดงผลให้อย่างชัดเจนหลังจากที่ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว ถึงเวลานั้น..ต่อให้ท่านสำนึกเสียใจ ก็น่าจะไม่ทันการแล้ว..! กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่เอาใจช่วยว่า ขอให้ท่านทั้งหลายสามารถมีความเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้จักขอขมากรรมต่าง ๆ ที่ตนเองได้ล่วงเกินไปแล้ว ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ท่านจะได้รับในโลกหน้า ก็ค่อนข้างที่จะอเนจอนาถและยาวนานจนคิดไม่ถึง..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2025 เมื่อ 02:26
|