โดยที่ท่านเจ้าของบทความกล่าวว่า "เนื้อหานี้มิได้มีเจตนาโจมตีใคร แต่เพื่อสะท้อนภาพความเป็นจริงของพระภิกษุในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ผิดถูกเป็นเรื่องของการพิจารณา แต่ความจริงย่อมเป็นความจริง กราบขออโหสิกรรมแก่พระภิกษุทุกรูป หากมีข้อมูลใดล่วงเกินต่อท่านทั้งหลาย"
กระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ดูท่าตนเองแทบจะโดนไปทุกข้อหาที่เขากล่าวมา..! แต่ก็ประหลาดตรงที่ว่า บางข้อหาก็เป็นประโยชน์ แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นมองไปในทางเป็นโทษมากกว่า ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็สำคัญที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ ว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์อบรมสั่งสอนท่านมาอย่างไร ประการหนึ่ง ประการที่สองก็คือ ท่านบวชมาเพื่ออะไรอีกประการหนึ่ง
เราจะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว อย่างพระภิกษุฉัพพัคคีย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๖ รูป มีการประชุมปรึกษากันก่อนว่า บ้านนี้เมืองนี้ประกอบไปด้วยความสะดวกสบาย มีประชาชนจำนวนกี่หมื่นกี่แสนครัวเรือน สามารถภิกขาจารบิณฑบาตได้ง่าย เราควรที่จะไปอยู่อาศัยในที่นั้น เป็นต้น
ดังนั้น..ท่านผู้รู้ถึงได้แยกพระภิกษุออกเป็นหลายประเภทตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่า
ประเภทที่ ๑ อุปชีวิกา บวชเข้ามาเพื่อเลี้ยงชีพ ประเภทนี้แน่นอนว่า "ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ตกดึกซัดบะหมี่สำเร็จรูป" ตามที่เขากล่าวคล้องจองกันมา
ประเภทที่ ๒ อุปกิฬิกา บวชเพื่อความสนุกสนาน โดยเฉพาะมีการแห่นาค มีการทำขวัญนาค มีการเลี้ยงผู้คน เป็นต้น บางรูปเข้าไม่ทันจะถึงโบสถ์ก็เมาหัวไถพื้นไปแล้ว..!
ประเภทที่ ๓ อุปนิสสรณิกา บวชมาปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:39
|