ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฏาคม ๒๕๖๘
เป็นอย่างไร..ที่เหลือหายไปไหนกันหมด ? โดนฝนละลายไปใช่ไหม ? เรื่องของกิเลส มารยาสุด ๆ ถ้าผ่อนผันอะไรให้แม้แต่ครั้งเดียว ครั้งต่อไปจะบอกว่า "คราวที่แล้วยังได้เลย" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องเข้มงวดกับตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเสียท่ากิเลสอยู่ร่ำไป ภาษาบาลีเขาว่า ปุนัปปุนัง คือ ไม่รู้จักแล้วจักเลิก
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของการตรงต่อเวลาก็ดี กินน้อยนอนน้อยเพื่อปฏิบัติให้มากก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะโดนกิเลสจูงจมูกอยู่เรื่อย ๆ สภาพจิตก็จะหยาบขึ้น มืดบอดมากขึ้น ขนาดที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักพิจารณา ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
อย่างการใส่บาตรเมื่อเช้า คนอื่นเขาเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกนี้ยืนขวางแถวพระเลย ประมาณว่าใส่บาตรเสร็จแล้วพระจะไปทางไหนก็เรื่องของพระ แต่กูจะยืนตรงนี้ แล้วอาตมาเองก็เป็นคนไม่หลีกใครเสียด้วย จึงเดินชนไปเลย..!
อีกประเภทหนึ่งก็ไม่ยอมถอดรองเท้า พอบอกให้ถอดรองเท้า ยังมีข้อแก้ตัวสารพัด ประมาณว่า "ถ้าถอดเดี๋ยวบิดามารดาจะสิ้นชีวิต..!" "ถอดแล้วกิจการจะล่มจม..!" อะไรประมาณนั้น อาตมาเองก็ขี้เกียจฟัง ส่วนใหญ่ก็เดินเลยไป ไม่ถอดรองเท้าก็ไม่ต้องใส่บาตร..!
ในเมื่อสภาพจิตหยาบ มืดบอด ความเป็นมิจฉาทิฐิเข้าถึงได้ง่าย โอกาสที่จะพลิกฟื้นก็ยากเต็มทีแล้ว เพราะว่าเรื่องของกิเลส พอถึงเวลาก็จะมีข้ออ้าง แล้วพอมีข้ออ้างทีหนึ่ง ถ้ากำลังใจเราไม่เข้มแข็งพอ ก็ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดกัน..!
จึงเป็นอะไรที่น่าหนักใจมากว่า พุทธศาสนิกชนของบ้านเรา มักจะเอาความมืดบอดมาแทนปัญญา ความโง่เขลามาแทนศรัทธา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปโทษใคร เนื่องเพราะว่าตัวเองทำตัวเอง เมื่อทำตัวเองก็คงไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเราได้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:21
|