อยากจะบอกว่าสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด ใจที่เราคิด มีผลต่อการปฏิบัติธรรมของเราทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าแต่ละบุคคลนั้น สร้างบารมีหรือว่ากำลังใจมาไม่เท่ากัน ทำให้มีปัญญามากน้อยต่างกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บางท่านแม้ว่าเพิ่งจะปฏิบัติธรรม แต่ว่าก้าวหน้าเร็วมาก เพราะว่าคิดดี พูดดี ทำดี ความดีทั้งหมดจึงหนุนเสริมกัน ให้มีความก้าวหน้ากว่าคนอื่นเขา
พวกเราส่วนหนึ่งสิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำขัดกันเอง อย่างเช่นเราปฏิญาณตนว่า "ขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่พอลำบากนิดเราก็ถอย ลำบากหน่อยเราก็ท้อ ดังนั้น..ถ้าใครก็ตามที่ความคิด คำพูด และการกระทำขัดกันเอง สิ่งที่เราจะพึงได้ก็จะยากกว่าคนอื่น เหมือนกับไม่มีอะไรจะทำก็เตะสกัดตัวเอง..!
เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ใช่คนช่างคิดช่างพิจารณาจะมองไม่เห็น มักจะคิดว่าเราคิดถูก พูดถูก ทำถูกอยู่เสมอ ลักษณะอย่างนั้นภาษาบาลีเรียกว่าวิปลาส ก็คือผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง อย่างเช่นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง..เราเห็นว่าเที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์..เราเห็นว่าไม่ทุกข์ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน..เราก็ไปยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา
วิปลาสเหล่านี้ยังมีอีกมาก อย่างเช่นว่าปกติของร่างกายมีความสกปรก ประกอบประกอบไปด้วยทวารทั้ง ๙ มีแต่สิ่งสกปรกหลั่งไหลออกมาตลอดเวลา ต้องคอยชำระล้างให้สะอาดอยู่เสมอ แต่เราก็ไปเห็นว่าเป็นของสะอาด สิ่งที่ไม่สวยไม่งาม เราเห็นว่าสวยงาม เนื่องเพราะว่าปัญญาไม่ถึง โดนกิเลสหลอกให้หลง ๒ ชั้น ๓ ชั้น บางทียังทำให้เราพลอยยินดีปลาบปลื้มใจอีก อย่างเช่นมีคนทักว่าสวยขึ้น ซึ่งความจริงต้องใช้คำว่าสวยลง..!
เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ต้องใช้ความละเอียดของจิตเข้าไปพินิจพิจารณาเป็นอย่างมาก การปฏิบัติธรรมจึงขาดวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะว่าถ้าขาดเมื่อไร เราก็จะไม่เห็นความเป็นจริง ถ้าขาดสมาธิคือสมถะ ถึงเห็นความเป็นจริงสภาพจิตก็ไม่ยอมรับ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ทำเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:07
|