โดยเฉพาะการที่จะไปกล่าวหาว่า บุคคลอื่นไม่ทำงาน ลักษณะ "เกียร์ว่าง" กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่า "แล้วหน่วยงานของท่านไม่มีบุคคลที่ "เกียร์ว่าง" บ้างหรือ ?" ก็แบบเดียวกับที่บอกว่าพระบวชมาแล้วต้องละกิเลส แล้วเมื่อคุณเป็นตำรวจแล้ว ไม่มีการคอรัปชั่นรีดไถใครเลยใช่ไหม ? ก็ในเมื่อบ้านตัวเองก็สกปรกโสโครกไม่ต่างกัน แล้วทำไมไม่รีบดำเนินการกวาดล้างให้เรียบร้อย แต่กลับทำเหมือนกับ "รับงานมา" หรือต้องการ "หาแสง" ถึงได้มาเอาพระสงฆ์เป็นจำเลย เอาสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นจำเลย..!
แล้วญาติโยมส่วนใหญ่ก็ต้องการความสะใจ ไม่สมกับที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างที่ว่า ก็คือตนเองไม่ได้สนใจที่จะสร้างบุญสร้างกุศลอะไร แต่ถึงเวลากลับทำตนมีสิทธิ์มีเสียงเต็มที่ เหมือนกับบุคคลที่ไม่เสียภาษี แต่ถึงเวลามาโวยวายเรียกร้องสิทธิของตน ขณะที่บุคคลซึ่งรู้ว่าอะไรดี อะไรถูก อะไรควร ก็ยังคงสร้างกุศลของตนตามปกติ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจะต้องมีสติ รู้จักพิจารณาแยกแยะ สิ่งใดที่เป็นของจริง เป็นของแท้ เราก็รับฟังแล้วนำมาแก้ไข จะได้เกิดประโยชน์แก่ กาย วาจา และใจของเรา ส่วนบรรดา "นักวิชาเกิน" ที่หาความรู้จริงไม่ได้ แต่แสดงความรู้ไปทุกเรื่อง ก็ปล่อยให้เขาสร้างเวรสร้างกรรมไป เรื่องนี้กล่าวมามากเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นให้ความสำคัญ แก่บุคคลที่ไม่ควรที่จะได้รับความสำคัญ..!
ขอย้อนกลับมา อยากจะถามท่านทั้งหลายว่า "เคยคิดเหมือนกระผม/อาตมภาพหรือไม่ ?" ว่าทำไมผู้หญิงคนเดียว หน้าตาถ้าหากว่าเป็นปัจจุบันนี้ก็ไม่มีอะไรดึงดูดใจเพศตรงข้ามเลย ทำไมจึงสามารถครอบงำพระผู้ใหญ่จำนวนมาก จนเสียผู้เสียคนได้ขนาดนั้น ? แล้วเขาเอาเวลาไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร ? เพราะว่าเป็นการคบกันทีเดียวเป็น ๑๐ คน คาดว่าคงจะมีความสามารถมากกว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะว่าสามารถ "สับราง" ได้เก่งมาก..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2025 เมื่อ 02:58
|