แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล ตัวอย่างบุคคลที่ทำเกินก็มีเพียงรายเดียว คือพระโสณโกฬิวิสะเถระ ด้วยความที่ท่านเป็นลูกมหาเศรษฐี ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ที่เขาใช้คำว่าสุขุมาลชาติ ประมาณว่าละเอียดอ่อนชนิดลมพัดกระทบก็อาจจะผิวแตกได้..!
แต่ว่าเมื่อท่านบวชเข้าไปแล้ว ทุ่มเทชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรม เดินจงกรมจนเท้าแตก เดินต่อไปไม่ไหว ท่านก็ใช้วิธีคลานไป คลานจนกระทั่งมือและหัวเข่าแตกหมด ท่านก็เอาตัวนาบพื้น แล้วใช้คางเกาะพื้นไป..! องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นดังนั้น จึงตรัสว่าพระโสณโกฬิวิสะเถระ ใช้ความเพียรในการปฏิบัติธรรมมากเกินไป ต้องลดลงมาให้อยู่ในจุดที่พอดี ถึงจะได้มรรคได้ผล
ในปัจจุบันบุคคลประเภทนี้ไม่ต้องไปหา กระผม/อาตมภาพเกิดมา ๖๐ กว่า จะ ๗๐ ปีแล้ว ยังไม่เจอเลย ก็แปลว่าที่เหลืออย่างพวกเราก็คือทำขาด ถ้าถามว่าขาดอย่างไร ? ก็คือเราท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมแล้วรักษาอารมณ์ไม่เป็น
ส่วนใหญ่ตอนนั่งอยู่อารมณ์ทรงตัว แต่พอลุกขึ้นก็ทิ้งหมด เหมือนอย่างกับว่าเราสั่งสมกำลัง หรือว่าสั่งสมเงินทองเพื่อซื้อสิ่งของ แต่เราเอาไปละลายในเรื่องอื่นจนหมดทุกครั้ง
ถ้าถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเอากำลังในการปฏิบัติธรรมไปละลายทิ้งทุกครั้ง ? ก็แค่วันนี้ช่วงบ่าย เราเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง ภาวนา ๑ ชั่วโมง จากช่วงบ่ายมาถึงตอนนี้ เราฟุ้งซ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง ? แล้ววันเวลาที่ผ่านมา เราฟุ้งซ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:11
|