เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ก็จะไม่หวั่นไหวอะไร เพราะว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับนี้ ต้องบอกว่าถึงขนาดพลิกฟ้าคว่ำดิน ทำร้ายความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมากทีเดียว แต่ถ้าเป็นบุคคลที่มีปัญญา ก็จะแยกแยะออกว่า อะไรเป็นความประพฤติส่วนตัว อะไรคือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา พูดง่าย ๆ ว่า สามารถแยกพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ออกจากตัวบุคคลได้
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ถ้าหากว่านับประชากรไทยประมาณ ๖๘ ล้านคน มีชื่อในทะเบียนบ้านเป็นชาวพุทธ ๙๖ เปอร์เซ็นต์เศษ แต่ว่าเข้าถึงธรรมในระดับที่มั่นคงมีไม่เท่าไรเอง ส่วนใหญ่แล้วก็ยัง "ถือมงคลตื่นข่าว" ไหลไปตามกระแสสังคม ซึ่งมีแต่จะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเอง
ทุกข์หนักเลยก็คือไปตำหนิด่าว่าพระสงฆ์ โดยใช้คำว่าพระ ซึ่งแปลว่าผู้ประเสริฐ ถ้าตีความก็คือหมายรวมเอาพระทั้งหมด ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด เท่ากับว่าเราจาบจ้วงปรามาสพระรัตนตรัยอย่างแรง..!
ประการที่สองก็คือ เมื่อเสื่อมศรัทธาก็พาตัวออกห่าง โอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากข้อธรรมคำสอน ที่ช่วยให้ชาติปัจจุบันนี้ตนเองมีความทุกข์น้อยลง และถ้าเป็นไปได้ทำให้คติ ก็คือชาติต่อ ๆ ไปมั่นคง อยู่ในด้านดี และถ้าหากว่าบุญวาสนาถึง การสั่งสมบารมีมาครบถ้วนสมบูรณ์ ก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไม่มีความมั่นคง ที่เลื่อมใสก็ไม่เลื่อมใส ที่ไม่เลื่อมใสก็ยิ่งหลีกห่างออกไปเรื่อย เท่ากับว่าตัดหนทางการเวียนว่ายตายเกิดที่จะสั้นลงของตนเอง ด้วยอาศัยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรือ เป็นแพ ส่งตนเองขึ้นสู่ฝั่ง กลายเป็นว่ายิ่งทำให้หนทางนั้นยืดยาว จนกระทั่งอาจจะหาต้นหาปลายไม่เจอ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:41
|