ปรากฏว่าพอวันที่ ๒๘ ตุลาคม หลวงพ่อท่านหมดสติ ต้องนำเข้าโรงพยาบาล แล้วท่านก็ทิ้งสังขารไปเลย เพราะว่าไม่อยากทนทุกขเวทนา ท่านบอกว่า "พยายามกลับมาหลายครั้ง แต่ขยับเท่าไร ร่างกายก็ขยับไม่ได้" ก็คือประสาทร่างกายชำรุดเกินเยียวยาแล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจว่า "ทำงานแบบไม่มีร่างกายสบายกว่าตั้งเยอะ..!" เพียงแต่ว่าถึงท่านจะไปแล้ว แต่สังขารร่างกายเหมือนกับรถ เมื่อวิ่งมา ถึงเวลาเครื่องดับ ก็ยังมีแรงเฉื่อยให้ไหลไปได้อีกระยะหนึ่ง ดังนั้น..ท่านจึงไปหมดลมวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
เรื่องนี้อย่าเอาไปเถียงกับคนอื่น ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ หรือ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ ก็ตาม ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าหลวงพ่อท่านแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถเลิศในสามโลกขนาดท่าน ก็ยังอนิจจังไม่เที่ยงเหมือนกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของท่าน เราก็จะทุกข์ เพราะว่าท้ายที่สุดไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาอย่างแท้จริง ส่วนที่เราจะยึดก็คือคุณงามความดีของท่านที่เป็นสังฆานุสติ
อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกกับพระพี่พระน้องหลายต่อหลายรูปว่า "ต่อให้ผมโดนไล่ออกจากวัดเพราะว่าทำงานเสี่ยง ๆ เพื่อวัด ผมก็จะเอาหลวงพ่อนั่งเหนือหัวไปด้วย" นั่นคือลักษณะของสังฆานุสติ ที่ไม่ใช่การยึดตัวบุคคล แต่ยึดในคุณครูบาอาจารย์ที่เป็นสุปฏิปันโน สาวะกะสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรว่า ครูบาอาจารย์ท่านมีความสามารถเท่าไร เราเองในฐานะที่เป็นพระภิกษุสามเณร หรือญาติโยมวัดท่าขนุน เท่ากับว่าเราแบกคุณงามความดีของครูบาอาจารย์เอาไว้ ถ้าหากว่ามีอะไรผิดพลาด บกพร่องให้คนอื่นเขาตำหนิได้ เขาไม่ได้ตำหนิแต่เราคนเดียว ถ้าพูดว่า "พระรูปนี้เป็นพระวัดท่าขนุน" วัดเสียหายด้วย "พระรูปนี้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สาย" หลวงปู่เสียหายไปด้วย "พระเณรรูปนี้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเล็ก" กระผม/อาตมภาพเสียหายไปด้วย แล้วท้ายที่สุด ความเสียหายทั้งหมดก็จะถึงพระพุทธศาสนา..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:47
|