ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่ศพก็จะเริ่มเน่า น้ำเลือดน้ำเหลืองโทรมไปหมด ก็ติดผ้าบังสุกุล แล้วเป็นเรื่องแปลก จะซักจะตากแดดดีขนาดไหนก็ตาม ก็จะหมดกลิ่นแค่ตรงนั้น พอกระทบความชื้นหรือกระทบเหงื่อของเราหน่อย กลิ่นเหม็นผีตายออกมาอีกแล้ว..! สมัยก่อนเขาถึงได้บอกว่า "ของที่เหม็นที่สุดในโลกมีสองอย่าง อย่างที่ ๑ คือขี้อีแร้ง อย่างที่ ๒ คือจีวรพระ" เหม็นน้ำเหลืองผีครับ..!
ดังนั้น..พวกท่านทั้งหลายถ้าจะฝึก กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ว่าไปแล้วก็ไร้ประโยชน์ เปลืองค่ารถเสียเปล่า ๆ ยกเว้นท่านที่มีพื้นฐานอสุภกรรมฐานเก่ามาจากชาติก่อน หรือมีพื้นฐานกสิณมา ถ้าแบบนั้นมองครั้งเดียวจะติดตาไปนาน ก็ให้กำหนดต่อจนกระทั่งเป็นปฏิภาคนิมิต ให้มาก็ได้ ให้ไปก็ได้ ต้องการจะพิจารณาเมื่อไร ก็กำหนดยกภาพขึ้นมา ไม่อย่างนั้นไปกี่ครั้ง ก็แค่ทำให้ฉันอาหารไม่อร่อยเท่านั้นเอง..!
เรื่องของอสุภกรรมฐานปัจจุบันนี้หาฝึกยาก บ้านต่างจังหวัดของเรายังพอมี ที่ตั้งกองฟอนแล้วเผากันกลางแจ้ง กระผม/อาตมภาพเองทั้งดูเขาเผา ทั้งเผาด้วยตัวเองมานับศพไม่ถ้วนแล้ว ศพสุดท้ายก็โยมแม่ของครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เผามากับมือ อุตส่าห์กลัวว่าถึงเวลาแล้วศพพอโดนไฟเผา เส้นเอ็นหดตัว จะกระดกลุกขึ้นมาให้คนเขาตื่นเต้นกัน ก็เลยเอาท่อนไม้ทับไว้ข้างบนหลายท่อน ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย..!
กลัวว่าเผาแล้วกระโหลกศีรษะซึ่งมีมันสมองอยู่ โดนความร้อนมาก ๆ จะระเบิด ก็ไม่เป็นอะไร แค่เผาแล้วยุบโทรมหายไปเฉย ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าโยมแม่ของท่านป่วยมานาน แล้วผ่ายผอมแทบจะไม่เหลือเนื้อเหลือหนังแล้ว ถึงเวลาก็เลยเผาง่าย ฟืนที่เตรียมเอาไว้สำหรับคนปกติร่างกายใหญ่โต ก็เลยกลายเป็นมากเกิน เผาแล้วเหลือขี้เถ้าอยู่กองท่วมหัว ถึงเวลาไปเก็บกระดูก ก็ควานหากันเข้าไป ไฟร้อนเกินไปกระดูกส่วนใหญ่ก็ป่นหมด พอมือกระทบก็กลายเป็นฝุ่นไปเลย
พวกท่านเองไม่ต้องอะไรมากหรอก แค่ไปเก็บกระดูกก็พอ ตอนนี้สัปเหร่ออ๊อด (พระพีระวิทย์ ชิตมาโร) ไม่อยู่ ใครทำหน้าที่แทน ? ศึกษาไว้ให้ดี แค่เราไม่รังเกียจกระดูกตอนที่เก็บก็พอแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:57
|