ถ้าหากว่าพวกเราปัญญาไม่พอ ในเรื่องของอสุภกรรมฐานให้เน้นไปในด้านของกสิณเลย ก็คือพิจารณาว่าซากศพนั้นมีสีอะไรมากกว่า สมมติว่าสีแดงของเลือดมากกว่า เราก็จับ "โลหิตกสิณัง" ไปเลย จะได้ผลมากกว่า แต่ถ้าหากว่าจะเอาแค่อสุภกรรมฐาน ตามตำราเขาบอกว่าได้แค่อุปจารสมาธิ เพราะว่าเขาทำไม่เป็น อุปจารสมาธิก็จดจำได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ถ้าไม่มีของเก่าอยู่ก็ไปไม่รอด..!
ดังนั้น..ถ้าจะให้ได้ผล อย่างบางสำนักที่เขามีศพอยู่ในวัด แต่ตอนนี้ก็น่าจะโดนทางราชการเก็บไปเกลี้ยงแล้ว เพราะว่าฝ่ายบ้านเมืองเขารับไม่ได้ สมัยนี้ก็ไม่เหมือนกับสมัยก่อน ที่เขามีป่าช้าผีดิบ ก็คือทิ้งซากศพเอาไว้ บางทีเชิงตะกอนก็ก่อกันตามมีตามเกิด เผาหมดบ้างไม่หมดบ้าง หรือถ้าบ้านไหนคิดว่าจะจัดงานให้ใหญ่โตกว่านี้สักหน่อย ก็เก็บศพเอาไว้รอเวลาหาเงิน ก็จะมี "โรงทึม" ไม่ใช่ "โรงทึบ" เด็กสมัยนี้พอเขียนว่า "โรงทึม" มันแก้เป็น "โรงทึบ" กันหมด ไม่เคยได้ยิน "โรงทึม" ก็คือโรงเก็บศพ ซึ่งไม่ต้องห่วง เดินไกลเป็นกิโลเมตรก็ได้กลิ่นศพแล้ว เพราะว่าต่อให้เก็บดีขนาดไหนก็ตาม พวกน้ำเหลืองพวกอะไรก็ไหลออกมาตามซอกของโลงจนได้..!
รุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น บรรดาพระใหม่ ถ้าได้ยินว่าให้ไปชักผ้าบังสุกุลก็ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด เพราะว่าหลายหมู่บ้านเขามีธรรมเนียมว่า "ให้คนตายทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย" เขาจะทำเก้าอี้ลักษณะคล้าย ๆ กับเก้าอี้โยก เอาศพไว้บนนั้น แล้วก็มีผ้าไตรพาดแขน หรือว่าผ้าจีวร ผ้าสบง ผ้าสังฆาฏิสักผืนหนึ่ง แล้วแต่ฐานะตัวเอง พาดแขนศพไว้
พระใหม่ที่ไปชักบังสุกุล ต้องหาไม้ง่ามไปด้วย พอถึงเวลาไปเหยียบเก้าอี้ ศพก็จะลุกพรวด ยื่นผ้าไตรมาตรงหน้า บางคนด้วยความกลัว เหยียบแรงไป ศพล้มเข้าใส่ตัว ต้องเอาไม้ง่ามค้ำไว้ก่อน แล้วค่อยไป "อนิจจา วะตะ สังขาราฯ" ชักผ้าบังสุกุลกัน แต่ส่วนใหญ่พระใหม่ตบะไม่ดี ขวัญไม่พอ เขาปล่อยไปคนเดียว พอเหยียบปุ๊บ ศพกระเด้งขึ้นมาปั๊บ กูก็เปิดแน่บแล้ว..! สมัยก่อนไม่ต้องห่วง พวกท่านไม่รู้เคยเจอประสบการณ์นี้หรือเปล่า ? ฉันอาหารหน้าโลงนี่ กลิ่นศพมาตลบอบอวลไปหมด กระผม/อาตมภาพเจอมาหลายรอบแล้ว..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:53
|