เมื่อเสร็จแล้ว พวกเราก็ต้องออกมา นั่งรถของทางด้านพิพิธภัณฑ์เมืองตุนหวงนี้ วิ่งตรงไปยังบริเวณถ้ำโม่เกาคู ระยะทางค่อนข้างจะไกล เพราะว่าวิ่งด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังใช้เวลาถึง ๑๖ นาที..! เมื่อพวกเราลงไปแล้ว ก็พยายามที่จะไปเข้าแถวกับบรรดานักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาเป็นพัน ๆ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นกรุ๊ปทัวร์ต่างชาติ ก็บอกให้ไปยังอีกสถานที่หนึ่ง เพราะว่าที่นั่นจะแจกเครื่องวิทยุติดตามตัวให้ เพื่อฟังคำอธิบายจากมัคคุเทศก์ได้
พวกเรารออยู่พักใหญ่กว่าที่จะได้เครื่องติดตามตัว สแกนและติดตั้งเรียบร้อยแล้ว คุณโบตั๋นทดสอบเสียงเห็นว่าเป็นที่พอใจ ก็ไปกับสาวสวยคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่รับกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่ว่าช่วงนี้ไม่มีคนญี่ปุ่นมา ก็เลยหันมารับกรุ๊ปทัวร์ไทย โดยที่อธิบายเป็นภาษาจีน ให้คุณโบตั๋นเป็นคนแปลเป็นภาษาไทยแทน คุณเธอพาเข้าไปดูทีละห้อง ทีละห้อง พร้อมกับอธิบายไปด้วย โดยห้ามการถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด พวกเราเอง "เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม"
ภายในห้องนอกจากมืดมิดแล้ว เมื่อคนเข้าไปอัดรวมกันมาก ๆ ยังร้อนจนเหงื่อตกอีกด้วย ซ้ำยังมีนักท่องเที่ยวหลงกลุ่มเข้ามายืนเด๋อ ๆ อยู่กับพวกเราถึง ๒ ห้อง ๓ ห้อง..! จนกระทั่งมัคคุเทศก์ต้องดึงตัวออกไป เป็นเรื่องที่ตลกแบบหัวเราะไม่ออก ถ้าเป็นเราแล้วเห็นธงเดินตามไปแบบนั้นก็น่าจะหลงได้เหมือนกัน..!
พวกเราใช้เวลาอยู่ภายในค่อนข้างที่จะนานมาก จนกระทั่งมาทีเด็ดห้องสุดท้ายที่มีศาลาอยู่ทางด้านหน้า ลักษณะเป็นเหมือนกับชายคาซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ซึ่งเป็นจุดขายของบริเวณถ้ำโม่เกาคู เป็นพระศรีอริยเมตไตรยสูงเกือบ ๓๖ เมตร สร้างในสมัยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน หรือที่พวกเราเรียกกันว่าบูเช็กเทียน โดยการสกัดภูเขาเป็นองค์พระศรีอริยเมตไตรยก่อน แล้วถึงได้สร้างห้องและหลังคาครอบในภายหลัง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2025 เมื่อ 02:45
|