ครั้นพวกเราเข้าไปถึงข้างในแล้ว ก็จัดการถ่ายรูปหมู่กันเอาไว้ก่อน แล้วก็เดินเข้าไปเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล การมาเมืองจีนนั้นที่ไม่ต้องเดินนั้นไม่มี มีแต่ว่าเดินมากและมากกว่า โดยเฉพาะวันนี้ ได้ยินว่าทางที่เราเดินนั้นประมาณ ๓ กิโลเมตร แปลว่าบุคคลที่เดินไม่ถนัดไม่สมควรที่จะมาเที่ยว..!
พวกเราต้องไปผ่านบริเวณด่านซึ่งมีเครื่องนับจำนวนคน อาเหมยจัดการเอาตั๋วของเราไปให้เขาสแกน เมื่อครบถ้วนแล้วพวกเราก็ผ่านเข้าไปด้านในหน้าประตูด่านที่ ๑ ซึ่งถ้าเราจะถ่ายรูปจากทางด้านนอกที่มีป้ายตัวหนังสือบอกอยู่ ก็เป็นการถ่ายรูปย้อนแสงเสียอีก จึงเดินเข้าไปทางด้านในแล้วค่อยถ่ายรูปกัน
จากนั้นก็ขึ้นบันไดไปยังด้านบน ทำให้มองเห็นว่ามีลักษณะของด่านซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ถึง ๔ ประตูด้วยกัน ทางด้านส่วนกลางซึ่งปกติแล้วก็น่าจะเป็นสถานที่จัดกำลังพล หรือว่าฝึกหัดทหาร "ท่านอูฐ" บอกว่า ถ้าจำเป็นขึ้นมาก็เป็นที่หลับที่นอน ที่รักษาทหารซึ่งเจ็บไข้ได้ป่วยอีกด้วย
กระผม/อาตมภาพสอบถามแล้ว คุณโบตั๋นบอกว่าเดินได้แค่ครึ่งเดียว ซึ่งด้วยความที่ภาษาไทยของแกไม่แข็งแรง จึงไม่อธิบายว่าให้เดินแค่ครึ่งเดียว กระผม/อาตมภาพก็เลยเดินวนรอบด่านในรอบใหญ่ไปเลย ได้เห็นกำแพงด่านทางด้านนอก ซึ่งชำรุดทรุดโทรมอยู่มาก เมื่อเดินไปจนสุดทาง โดยที่มี "ท่านอูฐ" และบริวารนำทาง ทำให้รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉงขึ้นมา ประมาณว่าอายุ ๖๐ แล้วก็ยังสามารถขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ได้อย่างไรก็อย่างนั้น..!
ครั้นเดินวนจนครบรอบแล้ว ก็เจอคุณนายสมหวัง (นางสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) กับหมอมุกเท่านั้นที่เดินตามมา แล้วหมอมุกก็ยังอุตส่าห์เมตตาถ่ายรูปให้ด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะกล้องของกระผม/อาตมภาพถ่ายย้อนแสงแล้วไม่ดี คุณหมอก็เลยเล่นเอากล้องโทรศัพท์ชื่อดังของตนเองมาถ่ายให้ จากนั้นพวกเราก็เดินวนอีกครึ่งรอบเพื่อไปสมทบกับคณะ เพียงแต่ว่าเป็นการเดินย้อนกลับ เพราะว่าถ้าเดินวนทักษิณาวัตรอีก ทางด้านนั้นนักท่องเที่ยวจีนก็แน่นไปหมด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2025 เมื่อ 02:35
|