ส่วนใหญ่แล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่สำราญ ซึ่งท่านเป็นเพื่อนคู่หูของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมื่อกระผม/อาตมภาพไปถึง ท่านก็จะให้คาถาบทนั้นบทนี้มา เมื่อถึงเวลาท่านก็จะบอกว่า "ข้าให้เอ็งไปใช้" ก็คือบอกครั้งเดียวจบ แล้วก็เขกหัวเป็นการประสิทธิ์ประสาทให้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว..!
ส่วนใหญ่คนที่ได้รับก็มักจะลืมหมดตอนโดนเขกหัวนั่นเอง..! แต่กระผม/อาตมภาพนั้นมักจะไม่ลืม เนื่องเพราะว่าความจำดีประการหนึ่ง เมื่อจำแล้วสลักอยู่ในใจไม่ไปไหนอีกอย่างหนึ่ง ท่านจึงนิยมให้คาถาทุกครั้งที่ไปถึง
เพียงแต่ว่าเมื่อภายหลังมาฝึกมโนมยิทธิแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านก็ค่อย ๆ ปรับกำลังใจ ให้ก้าวเข้ามาหาความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน โดยให้เน้นในเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ และการใช้ปัญญา ว่าทำอย่างไรจึงจะค่อย ๆ ปลดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกไปได้
ทำให้อันดับแรกเลย กระผม/อาตมภาพที่ต้องเสียเวลาภาวนาพระคาถาเป็นร้อย ๆ บททุกวัน เพื่อเป็นการทบทวนให้เกิดความคล่องตัว เนื่องจากหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเมตตาบอกว่า "เมื่อทำของเก่าคล่องตัวแล้ว ก่อนที่จะไปหาของใหม่ ก็ต้องทวนของเก่าเสียก่อน เมื่อมั่นใจแล้วค่อยไปเริ่มต้นของใหม่"
เมื่อมีพระคาถาหลายสิบจนถึงหลายร้อยบท กระผม/อาตมภาพก็ต้องมาเสียเวลาทวนของเก่าทุกบท ก่อนที่จะมาหาของใหม่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ วาง คัดเอาสุดยอดพระคาถาไว้ใช้งานแค่ไม่กี่บทเท่านั้น โดยเฉพาะหลัก ๆ เลยก็คือ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง เนื่องเพราะว่าสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรา "หน่วงจิต" นึกถึงคุณพระรัตนตรัย ก็เท่ากับว่าเราก้าวเข้ามาหาทางพุทธศาสตร์ เป็นสิ่งที่สามารถกำหนดได้ง่ายที่สุด เรียกง่าย ๆ ว่าถึงจะยึดก็ให้ยึดในด้านดีเอาไว้ก่อน เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:55
|