ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อไปก็ "อย่าเลี้ยงโจรเอาไว้ปล้นตัวเอง" อีก ก็คือเมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจไปต่อไม่ได้แล้ว เหมือนกับบุคคลที่เดินไปชนกำแพง ก็ให้คลายกำลังใจออกมา ยกเอาข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพินิจพิจารณา จนกระทั่งรู้เห็นอย่างชัดเจน และสภาพจิตยอมรับตามนั้น
อย่างเช่น เมื่อเห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด จิตของเราก็ยอมรับว่าเป็นจริงตามนั้น โดยไม่มีข้อถกเถียงใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ การแก่ก็เป็นทุกข์ การเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ การตายก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ การได้สิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์
ความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ สภาพจิตของเราก็จะเห็นชัดเจน และยอมรับจริง ๆ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ โดยไม่มีข้อแม้ให้ถกเถียงแม้แต่น้อย
เมื่อพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงส่วนประกอบของ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มารวมตัวกันชั่วคราว พอมีหัว มีหู มีหน้า มีตา ตัวเราคือจิต ที่มาอาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมที่สร้างไว้ เราก็ไปยึดว่าเป็นตัวกูของกู ถ้าลองแยกแยะดูจะเห็นว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น ไม่มีอะไรหลงเหลือให้เป็นเราเป็นของเราเลย สภาพจิตถ้าเห็นชัดเจนแบบนี้ และยอมรับตามนี้ ก็จะไม่ไปรัก โลภ โกรธ หลงกับใคร
เมื่อสภาพจิตของเรารู้จักนำกำลังมาพินิจพิจารณา ก็ต้องรู้จักสังเกตด้วย ก็คือพอใช้กำลังจากการภาวนาไปจนหมด การพิจารณาของเราก็รู้สึกว่าฝืด รู้สึกว่าเฝือ มองอะไรก็ไม่ชัดเจน เราก็กลับไปภาวนาใหม่ พอกำลังใจเต็มที่ก็คลายออกมาพิจารณาอีก ต้องทำสลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2025 เมื่อ 01:34
|