ท่านทั้งหลายจะสังเกตว่า ถ้าเราภาวนาบ่อย ๆ โดยไม่ใช่กำลังใจในการพิจารณา กำลังสมาธิของเราถ้ายังดี กดกิเลสอยู่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าฟางเส้นสุดท้ายวางลงมาเมื่อไร อูฐก็หลังหัก..! รัก โลภ โกรธ หลง จะไหลมาเทมาเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย..! จากคนที่กำลังใจสงบ ระงับ เยือกเย็น กลายเป็นเร่าร้อน จนกระทั่งจะต้องไประบายใส่คนอื่น
จนมีคนกล่าวกันว่า "วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ" เหล่านี้เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากการที่เราเข้าสมาธิบ่อย ๆ จนจิตมีกำลัง แต่เราไม่เอากำลังนั้นไปใช้ในการพินิจพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อเราไม่ใช้ กิเลสก็ขโมยไปใช้แทน..!
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถึงเวลาแล้วเราก็จะโกรธอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ สามารถคิดโกรธไปได้ทุกเรื่อง คิดแล้วคิดอีก ไม่รู้จักเลิก ขณะที่อีกฝ่ายที่เราโกรธไม่รู้เรื่องอะไรเลย..! นั่นคือการที่สภาพจิตของเราปรุงแต่งไปใน รัก โลภ โกรธ หลง โดยอาศัยกำลังสมาธิของเราไปปรุงแต่ง จึงมีกำลังกล้าแข็งจนเราระงับไม่อยู่ ถึงขนาดเดินหาเพื่อที่จะทำร้ายร่างกายของเพื่อนพระภิกษุสามเณรด้วยกัน ลืมแม้กระทั่งโอวาทปาฏิโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต ก็คือพระภิกษุสงฆ์ของเราต้องไม่ว่าร้ายใคร ต้องไม่ทำร้ายใคร สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ผู้ที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย..!
ต้องบอกว่าตอนนั้นหน้ามืด ไอคิวก็พลอยเตี้ย ไอเดียก็พลอยต่ำ ปัญญาก็ไม่มี คิดอยู่อย่างเดียวก็คือต้องเล่นงานคนอื่นให้สะใจ ประมาณว่าชกให้หงายท้องลงไปแล้วต้องกระทืบซ้ำ ส่วนไหนของร่างกายกระดิกได้ กูต้องกระทืบให้นิ่งให้ได้ ลักษณะแบบนั้นแหละที่เราเป็นทาสกิเลสแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และนักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น..! เพียงแต่ว่าบุคคลนั้นมีจริตไปทางด้านไหน ถ้าราคะจริต กามารมณ์ก็จะกำเริบ ถ้าโทสะจริต ความโกรธก็จะกำเริบ ถ้าโลภะจริต ความโลภอยากได้สิ่งของของคนอื่นมาเป็นของตัว ก็จะกำเริบ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2025 เมื่อ 01:33
|