ในส่วนที่ควรจะระมัดระวังเพราะพระพุทธเจ้าห้าม ท่านกลับไปละเมิด อย่างเช่นว่าพระพุทธเจ้า "ห้ามพระภิกษุนำขนในที่แคบออก" เนื่องเพราะว่าในยุคนั้นสมัยนั้น พระภิกษุยังต้องไปสรงน้ำตามท่าน้ำ แล้วก็ไปช่วยกันถอนขนรักแร้ ทำให้บรรดาชาวบ้านโพนทะนาว่า "พระภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อบวชสละเรือนออกไปแล้ว เหตุใดจึงยังทำตนเหมือนฆราวาสผู้เสพกามอยู่อีกเล่า ?" จึงทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติไม่ให้ภิกษุสามเณรถอนขนในที่แคบ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายแทนที่จะดูแลตนเองโดยการไม่ไปละเมิดพระวินัย ก็เห็นส่วนใหญ่ไปจัดการถอนเสียเกลี้ยงเกลา หรือว่าโกนก็ไม่ทราบได้ ?
ดังนั้น..การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยปัจจุบันนี้ สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ ไปทำในสิ่งที่ไม่ควร กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูปขึ้นมาในพระพุทธศาสนาของเรา จนกระทั่งพอนาน ๆ ไป รุ่นหลัง ๆ ปฏิบัติตามก็จะเกิดการผิดเพี้ยนไปเรื่อย แถมยังไปถกเถียงกันอีกว่าของใครถูกกันแน่ ?!
ในเมื่อเราเป็นพระภิกษุสงฆ์ สิ่งที่ต้องถืออย่างสำคัญที่สุดก็คือพระธรรมวินัย รองลงไปก็คือพระประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือว่ากฎหมายบ้านเมืองนั่นเอง ต่อไปก็คือต้องคล้อยตามจารีตประเพณี แต่ว่าจารีตประเพณีนั้นก็ต้องไม่ขัดกับพระธรรมวินัยด้วย เป็นต้น ดังนี้..เราจึงจะเป็นพระภิกษุสามเณรที่ดี สามารถดำรงพระพุทธศาสนาอยู่ได้จนกระทั่งครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปีสมดังเจตนาปรารภของพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้ากัน
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2025 เมื่อ 02:46
|