เนื่องเพราะว่าเงินวัดส่วนใหญ่นั้น จะไปตกอยู่ในมือของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งยัดเยียดตัวเองเข้ามาเป็นไวยาวัจกรบ้าง เป็นกรรมการวัดบ้าง เมื่อถึงเวลาวัดมีงาน ไม่ว่าจะเป็นกฐิน ผ้าป่า หรือว่างานเทศกาลใด ๆ ก็ตาม รายจ่ายก็ไม่ได้สนใจจะช่วยวัดจ่าย แต่รายรับเข้ามาเมื่อไรก็เก็บกวาดเอาไว้จนหมดเกลี้ยง โดยอ้างว่านำไปเก็บรักษาไว้บ้าง นำไปเข้าบัญชีให้กับวัดบ้าง แล้วก็ไม่เคยที่จะได้คืนอีกเลย ส่วนใหญ่ก็จะนำไปใช้จ่ายเองบ้าง นำไปปล่อยกู้ออกดอกบ้าง..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีความสามารถเฉพาะตัว ก็ย่อมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย พูดง่าย ๆ ว่ากลายเป็นทาสหาเงินให้ "ขาใหญ่" ทั้งหลายเหล่านี้ไปใช้จ่ายกัน แบบชนิดที่ฟุ่มเฟือยร่ำรวยไปตาม ๆ กัน..!
เมื่อกระผม/อาตมภาพมาเป็นรองเจ้าอาวาส ก็เห็นอยู่ในลักษณะแบบนี้ จึงได้บอกกับท่านอาจารย์สมพงษ์ (พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต) เจ้าอาวาสในยุคนั้น แต่ว่าท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเด็กของอำเภอทองผาภูมิ บรรดาขาใหญ่ทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เป็นผู้อาวุโสระดับปู่ ระดับพ่อทั้งนั้น จึงไม่สามารถที่จะจัดการอะไรได้ จนกระทั่งท่านต้องสึกหาลาเพศไป ทิ้งเงินวัดเอาไว้แปดแสนกว่าบาท..!
กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเงินวัดส่วนนั้นเลย ยกเว้นเงินทุนการศึกษา ที่ท่านอาจารย์สมพงษ์ได้ตั้งเอาไว้ตามหน้าที่ เป็นเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ กว่าบาท กระผม/อาตมภาพไปขอเปลี่ยนชื่อบัญชีเป็นชื่อของตนเอง ปรากฏว่าทางธนาคารแห่งนั้นไม่ยอมเปลี่ยนให้ โดยที่บอกว่า "ต้องเอาลายเซ็นของเจ้าของบัญชีเดิมมาก่อน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-06-2025 เมื่อ 01:36
|