ดังนั้น..ท่านทั้งหลายต้องมีศีลเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ตนเองตกสู่อบายภูมิ ความที่ท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล สติที่คอยระมัดระวังไม่ให้ศีลขาด จะสร้างสมาธิให้เกิดกับท่านเอง
หรือถ้าต้องการความมั่นคงมากกว่านั้น ก็ซักซ้อมภาวนาจับลมหายใจเข้าออกให้เป็นปกติ กำลังสมาธิจะไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว ความผ่องใสในใจของเราจะเกิดขึ้น เมื่อความผ่องใสเกิดขึ้น เราก็จะมีปัญญา มองเห็นว่าสิ่งใดควรละ สิ่งใดควรยึด แล้วท้ายที่สุดก็มองเห็นชัดเจน ไปถึงความไม่มีแก่นสารของสิ่งทั้งปวง ทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้
ถ้าหมั่นพิจารณาแบบนี้บ่อย ๆ แล้วกำลังสมาธิท่านเพียงพอ ก็สามารถค่อย ๆ ถอนตนเองออกจากห้วงวัฏสงสารนี้ ท้ายที่สุด ถ้าถอนออกมาได้ทั้งหมด ก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เป็นการพ้นจากภัยทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง เป็นการพ้นอย่างมั่นคงถาวร ไม่ต้องเสียเวลามาแสวงหาเครื่องป้องกันอีก
จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องสังวรและเร่งปฏิบัติให้มาก ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ทำน้อยก็ได้ประโยชน์ ทำมากก็ยิ่งได้ประโยชน์ ท้ายที่สุด สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำก็จะเป็นสำเภาทอง พาเราล่องพ้นจากห้วงวัฏสงสารไปในที่สุด
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-05-2025 เมื่อ 02:28
|