แต่ท่านอาจารย์สมพงษ์ (พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต - อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) ใช้วิธีให้อภัย ๆ แต่ให้อภัยแบบเก็บกด ท้ายสุดทนไม่ไหว ระเบิดโทสะ ตีแบบบวกของเก่าเข้าไปด้วย..! เด็กเขารู้ว่าเขาไม่ได้ทำผิดขนาดนั้น เพราะฉะนั้น..พอไปตีแบบนั้น เด็กวัดหนีกลับบ้านหมด ไม่มีใครอยู่วัดอีก ถือว่าเป็นการฝึกฝนกำลังใจของพวกเราก็แล้วกัน พอถึงเวลาทำงานอยู่นาน ๆ ความเครียดจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สติของเราต้องเท่าทันอารมณ์ใจของตัวเองด้วย
ตอนทำงานอยู่วัดท่าซุง ถ้างานใหญ่ ๆ อย่างงานเป่ายันต์เกราะเพชร ช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพยังรักษากำลังใจได้ ช่วงบ่ายมารู้ตัวตอนที่ตัวเองเสียงดังขึ้น แปลว่ารักษากำลังใจไม่ได้แล้ว สมาธิตก ต้องรีบลากคนอื่นมาทำหน้าที่แทน แล้วตัวเองก็ไปเข้าส้วม ไปนั่งภาวนาข้างในนั้น..! พออารมณ์ใจทรงตัวแล้วถึงกลับมาทำหน้าที่ต่อไป
ดังนั้น..พวกเราลองดูว่างานใหญ่แบบนี้ เรารักษาอารมณ์ใจได้นานเท่าไร แล้วขณะเดียวกัน สามารถที่จะแก้ไขอารมณ์ใจของเราได้เร็วเท่าไร ถือว่าเป็นการฝึกหัดกับของจริง การนั่งภาวนาเฉย ๆ อย่างเดียวไม่สามารถที่จะรับรองได้ เพราะว่าส่วนใหญ่สงบตอนภาวนา พอกระทบของจริงก็พังหมด..!
ดังนั้น..ใครที่สามารถรักษาอารมณ์ใจได้ในขณะที่ทำงาน ในขณะที่ชนอยู่กับคนหมู่มากจริง ๆ จึงพอที่จะเชื่อได้ว่ากำลังใจมั่นคง แต่ก็ห้ามประมาท เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไร กิเลสจะตีกลับตอนไหนก็ไม่รู้ ?!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2025 เมื่อ 02:39
|