ส่วนใครที่มีความรู้ในหลักธรรมแบบไหน คิดว่าญาติโยมรับได้ ก็ว่ากล่าวสั่งสอนไป แต่โดยนิยมแล้ว เขาให้จบลงไม่เกิน ๑๐ นาที กระผม/อาตมภาพเห็นว่าบางที ๑๐ นาทีก็ยาวเกินไป เพราะว่าญาติโยมส่วนใหญ่ที่มาทำบุญสมัยนี้ก็มักจะรีบไปทำงาน
ดังนั้น..ถ้าหากว่าทุกท่านกล่าวสัมโมทนียกถา ให้ยึดหลักในเรื่องอานิสงส์ของทาน ของศีล ของภาวนาเอาไว้ โดยเฉพาะอานิสงส์ในทานที่ญาติโยมได้ทำ หรือว่าเขามาทำบุญวันเกิด จะสามารถโยงเข้ากับเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างไร ? เขามาทำบุญวันครบรอบปี ญาติพี่น้องที่ตายไป เราจะกล่าวอย่างไรให้เขารื่นเริง แทนที่จะเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไป
กระผม/อาตมภาพได้รับการฝึกฝนอยู่เป็นปี ๆ เนื่องเพราะว่าหลวงพ่อเจ้าคุณณรงค์ - พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ. ๔) ตอนนั้นท่านเป็นพระราชธรรมโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถึงเวลาก็ "เอ้า..พระครูธรรมธร ช่วยจัดการให้ด้วย"
จำไว้ว่าเราทั้งหลายอย่าเกี่ยงงาน อย่ากลัวงานมาก ไม่ว่าจะเป็นภาระอะไรก็ตาม เป็นการฝึกฝนตัวเราเองอยู่เสมอ เป็นการพัฒนากาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้น แล้วในขณะเดียวกัน ก็สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่า สิ่งที่เรารักษาเรียนรู้มา สามารถที่จะถ่ายทอดต่อให้คนอื่นได้หรือไม่ ?
โดยเฉพาะการสวดมนต์ พวกเรายังมีหลายบทที่ไม่ได้แตะต้องเลย อย่างเช่นว่า "ยัง ยัง เทวะมะนุสสานังฯ" ความจริงยังมีบท "โย จักขุมาฯ" ด้วย แต่ว่าเราใช้งานกันอยู่บ้าง แล้วบททั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบทประพันธ์โดยวชิรญาณภิกขุ ก็คือในหลวงรัชกาลที่ ๔ จึงทำให้คณะสงฆ์มหานิกายไม่ค่อยได้ใช้ แต่ถ้าท่านฝึกฝนเอาไว้ ที่ไหนเขาใช้ เราจะได้สวดได้ท่องได้ ไม่เก้อเขิน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2025 เมื่อ 01:54
|