ดังนั้น..ระยะหลังถ้าร่างกายแย่มาก ๆ กระผม/อาตมภาพก็จะฉันยาประคองร่างกายบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฉันตลอด เพียงแต่ว่าช่วงนี้ร่างกายค่อนข้างจะแย่ เมื่อต้องออกไปงานข้างนอกจึงฉันยาไปแต่เช้า ปรากฏว่าโดนลากงานแต่เช้ายันค่ำ ยาหมดฤทธิ์เสียก่อน จึงต้องตั้งสติ ทำหน้าที่ไปตามที่พิธีกรหรือว่าโฆษกเขาบอกกล่าวหรือว่านิมนต์ให้ทำ
ด้วยความที่ตำแหน่งของกระผม/อาตมภาพก็คือ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าว่าโดยตำแหน่งก็ใหญ่กว่าเจ้าคณะจังหวัดเสียอีก..! แต่โดยพฤตินัยนั้น สิ่งที่ทำกันอยู่ก็ต้องให้เจ้าคณะจังหวัดท่านออกหน้า แต่เขาก็เชิญหรือว่านิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องอาศัยสติประคองร่างกายเอาไว้ เพื่อไม่ให้งานของเขาผิดพลาด หรือว่าไม่ให้ล้มขายหน้าชาวบ้านเขา..!
ในเรื่องของงานศพนั้น มีบางสำนักท่านบอกว่า "สวดพระอภิธรรมไปทำไม ? สวดไปก็ตกนรก..! การทำบุญให้คนตายไม่ได้รับบุญ แถมทำให้คนตายตกนรกหนักขึ้นไปอีก..!" กระผม/อาตมภาพก็อยากทราบเหมือนกันว่าพวกเขาเอาความรู้นี้มาจากไหน ? เนื่องเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกล่าวถึงการทำปุพพเปตพลี ก็คือการทำบุญอุทิศให้คนตายโดยเฉพาะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกไปก็คือ "ปัจจุบันนี้ผู้รู้มีมาก แต่ที่รู้จริงนั้นหายากเหลือเกิน"
เนื่องเพราะว่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเกินวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปมาก ปัจจุบันนี้แม้วิทยาศาสตร์จะทะนงตนว่า สามารถทำโน่นทำนี่ได้มากมาย จนแทบจะเป็นพระเจ้าเองอยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังไล่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ทัน..!
ถ้าใครไปดูในอินทกสูตร จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงการกำเนิดมนุษย์ ตั้งแต่เป็นจุดปฏิสนธิเล็ก ๆ ขนาด ๑/๑๖ ของขนจามรี จนกระทั่งแต่ละ ๗ วันผ่านไปมีลักษณะอย่างไร พระองค์ท่านบอกไว้ชัดเจนทั้งหมด วิทยาศาสตร์เพิ่งจะตามทันเมื่อไม่นานนี้เอง แล้วเขาก็ยังสงสัยว่าในยุคนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ได้อย่างไร ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:15
|