แต่เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..! รถช่างติดเหลือใจ กว่าที่จะฝ่ารถติดไปจนถึงพิพิธภัณฑ์สงครามอินเดีย - จีนได้ ก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง แล้วฝนก็ตกพรำ ๆ ไปตลอดทาง จนมีบางคนงอแงไม่อยากลงรถ กลัวว่าจะเปียกฝน..!
แต่กระผม/อาตมภาพมั่นใจในฝีมือของ "น้องหนูน้ำพริกสละ" ก็เลยเดินลงไปให้พวกเราถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน และดูสถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงการรบกัน ระหว่างอินเดียกับประเทศจีน ซึ่งมีบุคคลเสียชีวิตในสงครามไปเป็นจำนวนมาก เมื่อถ่ายรูปกันทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะรูปปั้นอนุสาวรีย์ท่านนายพลโสรวาร สิงห์ เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็กลับขึ้นรถ ฝ่ารถติดกันต่อไป ถือว่าเป็นรายการทรมานบันเทิง..!
จนกระทั่งมาขึ้นเขาที่ทางทั้งคับแคบ คดเคี้ยว และสูงชัน หลุดขึ้นไปถึงพิพิธภัณฑ์ชาวทิเบต ปรากฏว่าเป็นเวลาพักกลางวันของเขาพอดี ดูจากนาฬิกาแล้วเราต้องรอกันประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็เลยมาถ่ายรูปหมู่และเดินดูสถานที่ต่าง ๆ พอไปเจอร้านกาแฟก็แห่กันเข้าไป ส่วนใครที่ไม่กินน้ำชากาแฟก็ออกไปเดินดูหมา ดูธรรมชาติต่าง ๆ รอบวัด จนเจ้าหน้าที่เขาทนไม่ได้ บ่ายโมงครึ่งก็รีบมาเปิดพิพิธภัณฑ์ให้..!
เมื่อซื้อตั๋วเข้าไปทางด้านในแล้ว เห็นเขาแบ่งเป็นช่วง ๆ แบบไม่ได้กั้นห้อง ช่วงแรก ๆ ก็คือความเป็นมาของชนชาวทิเบต ต่อด้วยศาสนาของทิเบต จากศาสนาบอนคือนับถือผี ก็เริ่มมานับถือพุทธ แล้วแตกออกเป็นนิกายต่าง ๆ มีนิกายเกลุกปะ (นิกายหมวกเหลือง) นิกายเนียงมาปะ (นิกายหมวกแดง) นิกายกาจูปะ และนิกายศากยะปะ ซึ่งนิกายเกลุกปะนั้น ปัจจุบันเป็นนิกายที่สังกัดขององค์ดาไลลามะ เรียกภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า "นิกายหมวกเหลือง"
แล้วก็มาถึงเรื่องของการป้องกันชาติ ป้องกันแผ่นดิน ซึ่งเขาระบุเอาไว้ว่า "แม้ประเทศของเราจะเล็ก อาวุธของเราจะล้าหลัง แต่เราก็ต้องสู้กับผู้รุกราน เพื่อรักษาศาสนา ประเทศชาติ ประชาชน และวัฒนธรรมของเราเอาไว้"
เรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องพอเข้าไปฟัง และชมวิดีโอซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว มีการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ค่อนข้างใจจะเข้มแข็ง ก็คงต้องเสียน้ำตากันเลยทีเดียว..! จนกระทั่งมาถึงช่วงสุดท้าย เป็นห้องของผู้หญิงทิเบต เริ่มตั้งแต่พระมารดาขององค์ดาไลลามะ และบรรดาวีรสตรีต่าง ๆ ซึ่งต่อสู้กับกองทัพคอมมิวนิสต์จีน จนกระทั่งมาถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบัน
จากนั้นพวกเราออกมาจะหาซื้อสินค้าของที่ระลึก แต่ปรากฏว่าข้าวของเขาเหลือน้อยมาก ๆ ไม่มีอะไรให้เลือก ก็เลยต้องกลับขึ้นรถ ฝ่ารถติด สร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิตกลับขึ้นเขา แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่บรรยายว่าหัวโค้งนี้ มุมถนนนี้ ตนไม่สามารถขับได้อย่างเด็ดขาด แต่เขาก็สามารถที่จะไปกันได้ ทั้ง ๆ ที่รถสองคันใหญ่เกินถนนไปอย่างน้อยก็ครึ่งคัน เขาก็สามารถที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัย พากันขยับซ้ายขยับขวา จนกระทั่งผ่านกันไปได้ด้วยดีทุกครั้ง..!
เมื่อพวกเรากลับมาถึงโรงแรมที่พัก ส่วนหนึ่งก็ไปสั่งอาหารเย็น อีกส่วนหนึ่งก็เข้าที่พัก ทำภารกิจส่วนตัว กระผม/อาตมภาพที่ถือ "ชุดเดียวเที่ยวทั่วโลก" ก็รีบซักจีวรเอาไว้ก่อน เพราะว่าอีกหลายวันต่อไปไม่ทราบว่าจะมีโอกาสแบบนี้หรือเปล่า ?
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:37
|