รถบัสมารับพวกเราตรงเวลามาก เมื่อตรวจสอบกระเป๋าและนำขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็วิ่งตรงไปยังสุวรรณวิหาร ใช้เวลาแค่ไม่นานก็ต้องมาจอดให้ทุกคนลง แล้วก็มีรถริกชอร์ หรือว่าสามล้ออินเดีย ซึ่งให้นั่งได้คันละ ๔ คน มารับพวกเราตรงไปยังสุวรรณวิหาร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นถนนแคบ ๆ รถราแน่นขนัดไปหมด แต่ละคันบีบแตรกันแบบไม่ยั้ง สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาฟังรู้เรื่องได้อย่างไร ?!
เมื่อไปถึงจอดลงเท่านั้น ก็มีคนวิ่งมาเร่ขายผ้าคลุมหัวทันที เนื่องเพราะว่าในสุวรรณวิหารนั้นมีกฎระเบียบก็คือ ทุกคนที่เข้าไปต้องโพกหัวให้เรียบร้อย ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่าแขกซิกข์นั้นจะโพกผ้ากันทุกคน จนเราเรียกง่าย ๆ ว่า "อาบังโพกหัว"บ้าง "อาบังขายผ้า" บ้าง เหล่านี้เป็นต้น
เพียงแต่ว่าสุวรรณวิหารนั้นเปิด ๙ โมงตรง ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นจึงแนะนำคุณเอให้พาพวกเราเข้าไปชมสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสถานที่สังหารหมู่ชาวซิกข์ของพวกคนอังกฤษ เนื่องเพราะว่าตอนนั้นรัฐบาลอังกฤษปกครองอินเดียอยู่ แล้วมีเทศกาลที่ชาวซิกข์มาชุมนุมกันหลายพันคน ทำให้ทางรัฐบาลระแวงว่าเป็นการเดินขบวนเพื่อไล่รัฐบาลอังกฤษ จึงส่งทหารมา "ปิดประตูตีแมว"..!
เนื่องเพราะว่าบริเวณสถานที่จัดงานนั้น มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน เมื่อทหารบุกเข้ามา ทั้งยิงและขว้างระเบิด จึงทำให้บรรดาชาวซิกข์ไม่มีที่จะหลบภัย เฉพาะบ่อน้ำแห่งเดียว มีซากศพชาวซิกข์ทับถมกันอยู่ถึง ๑๒๐ กว่าศพ..! แล้วตามกำแพงก็ยังมีรูกระสุนปืนที่เขาอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อบอกถึงความโหดร้ายของผู้ปกครองด้วย
เมื่อพวกเราชมสถานที่ ปลงสังเวชและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องเดินออกมาอีกด้านหนึ่ง คราวนี้ได้เวลาเข้าไปยังสุวรรณวิหารเสียที อันดับแรกเลย เมื่อเห็นตัวอาคารมีโดมสีทอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร ๔ ทิศ พวกเราก็ถ่ายรูปหมู่เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ไปทำการฝากรองเท้าซึ่งเป็นการฝากฟรี ไม่เสียเงิน เจ้าหน้าที่ดูแลให้เราดีมาก มัคคุเทศก์แอบกระซิบว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในนี้ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ร่ำรวยมาก แต่ว่าเสียสละตนเองมาทำงานเพื่อสังคม
เมื่อฝากรองเท้าแล้วพวกเราก็ต้องไปล้างมือ แล้วก็เดินผ่านน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปทางด้านใน ซึ่งจะมีทหารแขกซิกข์ตัวใหญ่โตมโหฬาร ถือหอกเดินเฝ้าอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าใครนึกไม่ออก ลองนึกถึงสมัยหนึ่งซึ่งเรามี "อาบังแขกยาม" ดูก็ได้ กระผม/อาตมภาพที่สูง ๑๗๒ เซนติเมตร เมื่อเดินเข้าไปเปรียบเทียบกับทหารเหล่านี้แล้ว กลายเป็นลูกชายของเขาไปเลย..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:18
|