หรือไม่ก็การถ่ายภาพออร่า ซึ่งพัฒนามาจากการถ่ายภาพก่อนหน้านี้ที่เรียกว่าเกอร์เลียน ก็คือถ่ายภาพพลังชีวิตของคน ของสัตว์ ของพืช
ตอนแรก ๆ นักวิทยาศาสตร์ทดลองด้วยการตัดใบไม้เป็นสองท่อน แล้วเอาไปถ่ายรูปแบบเกอร์เลียน ปรากฏว่าภาพที่ออกมาเป็นใบไม้เต็มใบ เพราะว่าพลังจากโคนใบยังส่งไปอยู่ ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นรูปใบไม้เต็มใบเหมือนเดิม พอนาน ๆ ไปหน่อยพลังขาดช่วงลง แผลโดนปิดแล้ว ก็เหลือภาพใบไม้แค่ครึ่งใบ เขาก็เลยปรับมาถ่ายภาพออร่าในปัจจุบัน เพื่อที่จะศึกษาว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะมีออร่าสีอะไร ? บริเวณไหน ? ป่วยด้วยโรคอะไร ? จนป่านนี้ก็ยังมั่วกันอยู่นั่นแหละ..! ทายถูกบ้างผิดบ้าง
เนื่องเพราะว่าบุคคลที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะ ไม่ไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเจ็บป่วย ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญสร้างกุศลพร้อมที่จะตาย ในเมื่อไม่ไปคร่ำไปครวญ อาการเจ็บป่วยที่คนอื่นเห็นก็มีน้อย แม้กระทั่งเครื่องก็ยังโดนหลอกไปด้วย เพราะสภาพจิตเขาไม่ได้ไปกังวลกับความเจ็บป่วย ออร่าที่เปล่งออกมาสดใสกว่าคนปกติเสียอีก..!
ดังนั้น..พวกเครื่องมือวิทยาศาสตร์นี่อีกนาน ยังไม่สามารถจะไล่ทัน อาตมภาพรอดูสมัยพระศรีอริยเมตไตรย เขาบอกว่าคนเกิดมาหน้าตาสวยเหมือน ๆ กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ลงจากบ้านแล้วจำกันไม่ได้เพราะหน้าตาเหมือนกัน กลับขึ้นบ้านเมื่อไรถึงจะจำได้ว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง
หลวงพ่อสันนิษฐานไว้สองอย่าง อย่างแรกก็คือบุญเป็นตัวกำหนด ในเมื่อสร้างบุญมาใกล้เคียงกัน ก็เลยเกิดมาหน้าตาเหมือน ๆ กัน เหมือนพวกเทวดานางฟ้า ประการที่สอง วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด โคลนนิ่งขึ้นมาหน้าตาเหมือนกันหมด แต่คนละจิตวิญญาณกัน อีกประมาณล้านปีเท่านั้น ทนรอพักเดียวก็ได้เห็นแล้ว..! ตอนนี้ขอขึ้นธรรมาสน์ก่อน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:28
|