โรคภัยไข้เจ็บอีกอย่างหนึ่งที่สมัยนั้นเรียกว่า "โรคห่า" หรือว่า "โรคป่วง" ก็คือ "อหิวาตกโรค" นั้น ถ้าหากว่าเป็น ส่วนใหญ่ก็มักจะตายกันยกหมู่บ้าน..! ใครที่รอดมาได้เขามีสำนวนว่า "เหลือเดนห่า" ก็คือ "หัวแข็ง" ขนาดอหิวาตกโรคยังกินไม่ลง..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีใครช่วยได้ สมัยก่อนก็มักจะอพยพทิ้งบ้านทิ้งเรือนตรงนั้นไป หรือไม่ก็ช่วยกันเผาหมู่บ้านทิ้งไปเลย แล้วย้ายไปตั้งบ้านเรือนในที่ใหม่ ๆ กันต่อไป แม้กระทั่งกรุงศรีอยุธยาของเรา ถ้าตามความเชื่อถือของคนส่วนหนึ่งก็คือ พระเจ้าอู่ทองนั้นได้ย้ายหนีโรคห่า คืออหิวาตกโรค จากทางด้านสุพรรณบุรีขึ้นไปจนถึงบริเวณ "หนองโสน" ก็คือที่ตั้งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยนี้ แล้วจึงไปสร้างเมืองหลวงใหม่อยู่ที่นั่น
ในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มาภายหลังเริ่มมีตัวยาต่าง ๆ ที่ดีขึ้น แต่ว่ายาที่กระผม/อาตมภาพรู้จักสมัยนั้น เขาเรียกกันว่า "ยาทันใจ" ซึ่งมาภายหลังเขาถือว่าโฆษณาจนเกินจริง ก็เลยกลายเป็นศัพท์ประหลาด ๆ ว่ายาทัมใจ ใช้ ม.ม้า สะกด น.หนู ยาตัวนี้จะทำให้บุคคลที่กินแล้วติดยาด้วย..!
แต่ว่าคนงานที่ทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในไร่ยาสูบ ในไร่อ้อยอะไรก็ตาม ที่เป็นกรรมกรใช้แรงงานมาก ถึงเวลาเลิกงานก็จะกินยาทันใจ ๒ ซอง พร้อมกับเหล้าขาว ๑ เป๊ก ทำให้เลือดลมวิ่ง หายปวดหายเมื่อย รุ่งขึ้นทำงานได้เหมือนไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แต่เขาว่ามีส่วนผสมของฝิ่น ทำให้คนติดได้เหมือนกัน ได้ยินว่าเป็นของโอสถสภา (เต๊กเฮงหยู)
ส่วนยาอีกอย่างหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นของวิเศษเลยก็คือยาแก้ปวดท้อง ชื่อว่า "ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน" เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นเด็กที่แทบจะมีเวลาเรียนเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งต้องขาดเรียน เพราะว่าปวดท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงขนาดดิ้นตึงตังโครมครามเลยทีเดียว..! ไม่สามารถที่จะแก้ไขด้วยยาใด ๆ ทั้งสิ้น โยมแม่ก็เลยต้องไปขอยาจากอาประเสริฐ (นายประเสริฐ โตทัพ) ก็คือยากฤษณากลั่น ตรากิเลนนี่แหละ เทมา ๑ ช้อนชา ชงน้ำเปล่าให้ กลืนลงไปอึกเดียวเท่านั้น พอยาลงถึงท้อง รู้สึกเย็นซ่านไปหมด แล้วก็หายปวดท้องในทันทีทันใด ไม่ทราบเหมือนกันว่ายาถูกโรค หรือว่าเวรกรรมหมดลงช่วงนั้นพอดี..!
แต่ว่าการที่เจ็บป่วยขนาดเหงื่อตกไปทั้งตัว ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรง วันนั้นปั่นจักรยานไปโรงเรียนไม่ไหว เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ที่โรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน ต้องปั่นจักรยานจากบ้านไปโรงเรียน ๖ กิโลเมตร ไป - กลับวันหนึ่งก็ ๑๒ กิโลเมตร ทำให้ต้องขาดเรียนไป ๑ วัน เรื่องของหมอเรื่องของยายังมีเนื้อหาอีกมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเล่าได้ทั่วถึงหรือไม่ ?
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2025 เมื่อ 01:33
|