วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังมหาจุฬาอาศรม ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อร่วมปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๒ วัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ หลังจากนั้นถึงจะได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรมโครงการ Upskills การสอนวิชาปรัชญาพระพุทธศาสนา ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
สำหรับวันนี้มา "เล่าความหลัง" กันต่อ เรื่องของการเล่าความหลังนั้น จุดมุ่งหมายใหญ่เลยก็คือ ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นวัฒนธรรมการกินการอยู่ของผู้คนสมัย ๕๐ - ๖๐ ปีที่แล้ว ตลอดจนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นแล้วจะได้เข้าใจชัดว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็น "อกาลิโก" จริง ๆ ก็คือสามารถใช้ได้ในทุกเวลา ทุกกาลสมัย ไม่โดนจำกัดด้วยเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น
การหุงข้าวต้มแกงสมัยนั้น เครื่องปรุงรสจะมีน้อยมาก เนื่องเพราะว่าอยู่ในลักษณะของการ "กินเพื่ออยู่" เท่านั้น ดังนั้น..เครื่องปรุงรสหลัก ๆ เลยก็จะเป็นเกลือ แล้วก็น้ำปลา ถ้าเป็นคนจีนก็จะมีน้ำถั่วเหลืองหมักที่เรียกว่า "ซีอิ๊ว" แต่ว่าถ้าเป็นน้ำถั่วเหลืองหมักแบบที่เรียกว่า "ซีอิ๊วหวาน" นั้น กระผม/อาตมภาพกลับไม่ชอบ ถ้าหากว่าเป็นน้ำถั่วเหลืองหมักที่เป็นซีอิ๊วธรรมดา จะเป็นอะไรที่แค่คลุกข้าวเปล่าก็อร่อยแล้ว..!
ในเมื่อเครื่องปรุงอาหารมีน้อย ก็ขึ้นอยู่กับแม่ครัวว่าจะมีฝีมือหรือไม่ ? ดังนั้น..ถ้าหากว่าบ้านไหนแกงเขียวหวานกะทิลอยหน้ามาเป็นแพ คนก็จะชื่นชมกันมาก เนื่องเพราะว่าแค่เห็นก็รู้สึกว่าอร่อยแล้ว แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไปก็มักจะ "แกงป่า" ก็คืออยู่ในลักษณะแกงน้ำใส ไม่ได้มีกะทิอะไรเลย หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะการตำ "น้ำพริกโจร" ก็คือแทบจะมีแต่พริกกับเกลือเท่านั้น อาศัยพวกมะเขือบ้าง วัสดุอื่นบ้าง มาเผาหรือว่าต้ม แล้วตำปนกันลงไป เพื่อที่จะได้มีเนื้อน้ำพริกมากขึ้น ใช้คลุกข้าวกินได้ถนัดขึ้น..!
ไม่ใช่น้ำพริกที่มีกะปิแบบที่ตำอยู่กับบ้าน ซึ่งบุคคลที่อยู่ในป่าในดงนั้น ก็ต้องหาอยู่หากินกัน "ตามมีตามเกิด" แล้วบรรดาพวกเสือปล้น หรือว่าบุคคลนอกกฎหมาย ซึ่งหนีไปอยู่ในป่าแล้วทำกินกัน เขาก็เลยเรียกว่า "น้ำพริกโจร" บ้าง หรือว่า "แกงป่า" บ้าง ก็คือคนอยู่ในป่า ไม่สามารถที่จะหากะทิได้ ก็ต้องแกงไปตามวัสดุที่ตนเองมีอยู่หรือว่าหาได้แถวนั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้บรรดาเด็ก ๆ ซึ่งข้าวปลาอาหารไม่ค่อยจะพอกิน แล้วก็เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประหลาดในสมัยนั้น ที่เรียกกันว่า "ตานขโมย" มีอาการพุงโรก้นปอด ก็คือพุงใหญ่มาก แต่ว่าแขนขาลีบ กระดูกซี่โครงขึ้นเป็นซี่ ๆ ก็จะมีหมอสมัยโบราณแนะนำให้ยิงอีกา แล้วนำเอาตับมาปิ้งให้เด็กกิน แล้วก็จะหาย หรือไม่บางคนก็ให้กินจิ้งจก หรือว่าลูกหนูเป็น ๆ ลงไปเลย..! ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันว่าสามารถที่จะแก้ได้จริง ๆ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2025 เมื่อ 01:16
|