เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการพากเพียรปฏิบัติ เหมือนกับลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีศีลเป็นกรอบ มีสมาธิเป็นห้ามล้อ มีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ถ้าตราบใดที่เรายังไม่หลุดจากกรอบของศีลห้า ตราบนั้นถึงเราทำผิดก็ผิดน้อย มีโทษน้อย
แต่ถ้าหลุดจากกรอบของศีลห้าเมื่อไร เรามีโอกาสพลาดลงอบายภูมิทันที เพราะว่าคุณสมบัติของศีลห้าอย่างหนึ่งก็คือ ป้องกันไม่ให้เราตกสู่อบายภูมิ
ท่านทั้งหลายอุตสาห์เสียสละเวลา ที่จะแสวงหาความสุขให้แก่ตนเอง มาปฏิบัติธรรมในช่วงเทศกาลที่คนอื่นเขาไปสนุกรื่นเริงกัน ก็ขอให้ทำแบบจริงจัง เพราะว่าเวลามีน้อย เราจะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงเช้ามา ถ้าไม่ใช่การปฏิบัติธรรมในช่วงเช้ามืดแล้ว ส่วนที่เหลือก็แทบจะเป็นพิธีกรรมพิธีการไปหมด ถ้าเราไม่ฉลาดในการแสวงบุญ บางคนอาจจะไม่ได้อะไรเลย..!
แล้วมาช่วงบ่ายที่เราจะปฏิบัติธรรมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลายท่านก็ยังมาช้า มาล่า มาไม่ทัน แบบนี้ต่อให้ท่านเพียรพยายามก้าวข้ามเส้น ๕๐ ไป ก็คาดว่าห่างไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น..! ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะก้าวไปถึง ๑๐๐ และถ้าหวังความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมยังต้องไปให้เกิน ๑๐๐ อีกอย่างน้อยสี่เท่า..!
ท่านทั้งหลายจึงต้องสังวรเอาไว้ว่า "วันเวลาล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ?" "ตัวเราติเตียนตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" "ผู้รู้ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" "คุณวิเศษของเรามีบ้างหรือไม่ ? เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม" เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องถามตัวเองและต้องตอบตัวเองให้ได้..!
ลำดับต่อไปก็ให้พวกเราสมาทานพระกรรมฐานและเข้าสู่การปฏิบัติในช่วงบ่ายกันต่อไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2025 เมื่อ 03:15
|