ส่วน "ไม้คมแฝก" นั้น ถ้าหากว่าเมตตาหน่อย เขาก็จะเหลาแค่พอเป็นเหลี่ยม แต่ถ้าตั้งใจเอากันถึงตายก็จะเหลาออกแบนแล้วมีปีกเป็นเหลี่ยมสองข้าง ลักษณะกึ่ง ๆ คมทีเดียว ถ้าโดนเข้าแถวทัดดอกไม้ บางทีก็หนังหัวเปิดไปแถบหนึ่ง..! พูดง่าย ๆ ว่าตีกันให้ตายไปเลย..! แต่เนื่องจากว่าสมัยนั้นคนส่วนใหญ่หนังเหนียว พวกมีดพวกดาบไม่ค่อยได้รับประทานกัน แม้แต่ปืนก็ยิงออกบ้างไม่ออกบ้าง ถึงออกก็ไม่ถูก หรือว่าถูกก็ไม่เข้า จึงต้องแก้กันด้วยการใช้ไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้ตะพด หรือว่าไม้คมแฝกแทน อย่างของโยมพ่อหรือว่าโยมเตี่ยก็จะใช้ไม้คาน คนเข้ามาเท่าไรก็ตีกระจายหมด..!
เราจะเห็นว่าเครื่องไม้เครื่องมือนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการทำมาหากิน อย่างเช่นว่า "จอบ" บ้าง "เสียม" บ้าง หรือว่าเครื่องมือพิเศษ อย่างเช่น "ระหัดวิดน้ำ" ซึ่งจะต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถในการทำระหัด แล้วก็คนที่จะสามารถ "ถีบระหัด" เพื่อ "ชักน้ำ" เข้าไร่เข้านาของตนเอง ซึ่งส่วนนี้เกินความรู้ของกระผม/อาตมภาพไปมาก เคยแต่ช่วยผู้ใหญ่ถีบระหัดไปได้ไม่เท่าไร พอนอนหลับไปตื่นหนึ่ง ลุกขึ้นมาแทบจะเดินไม่ไหว แข้งขาปวดระบมไปหมด..!
ถ้าเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งเรียกว่า "โชงโลง" สำหรับเอาไว้เพื่อที่จะทำให้บ่อกว้างขึ้น เพราะว่าสมัยก่อนส่วนใหญ่ในไร่ในนาก็มักจะขุดบ่อขังน้ำเอาไว้ ถึงเวลาหน้าน้ำหลากก็จะมีปลามา "ตกคลั่ก" อยู่ พอถึงหน้าแล้งก็ได้ใช้น้ำในไร่ในนา แล้วก็ "วิดปลา" มาเป็นอาหารได้ด้วย แต่ว่าต้องอาศัยโชงโลงในการที่จะสาดเลนออกจากบ่อขึ้นไปที่ขอบบ่อ
หรือบางคนถ้าทำร่องสวนปลูกผลไม้ ก็จะสาดเลนขึ้นไปเพี่อที่จะโปะโคนต้นไม้เป็นปุ๋ยไปในตัว "โชงโลง" จะเป็นภาชนะอยู่ในลักษณะสานด้วยไม้ไผ่ถี่ ๆ ตอนปลายกว้างผายออก แล้วก็มีด้ามยาว ๆ ถ้าคนที่ทำ "โชงโลง" เก่ง ๆ ก็จะมีการตั้ง "สามขา" แล้วก็มีเชือกโยงลงมาตรงกึ่งกลางเพื่อผ่อนแรง ถึงเวลา "โล้" มาทางด้านหลัง ทิ่มเข้าไปในโคลน งัดขึ้นมา แล้วก็ "โยก" หรือ "โยน" ขึ้นหน้า สาดโคลนขึ้นไปบนฝั่งพอดี เรื่องพวกนี้ถ้าไม่เคยเห็น บางทีก็นึกไม่ออก
แล้วก็มีการ "วิดปลา" ส่วนใหญ่ก็จะใช้ถังสังกะสีที่เรียกว่า "ปี๊บ" แต่ความจริงแล้วเขียนว่า "ปีบ" เป็นปีบที่ใส่น้ำตาลบ้าง เป็นปีบที่ใส่น้ำมันบ้าง เพราะว่าน้ำตาลสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นน้ำตาลโตนด เคี่ยวจนข้นแล้วก็ใส่ปีบไปขาย แล้วจนกระทั่งเมื่อมาในระยะหลัง ก็มีน้ำมันเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง จากที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้น้ำมันที่เคี่ยวจากไขมันของหมู ก็เริ่มมาใช้น้ำมันพืช แต่สมัยนั้นไม่ได้เรียกว่าน้ำมันพืช เขาเรียกว่า "น้ำมันบัว" ใช้ในการทำอาหารบ้าง ใช้ในการทอดขนมบ้าง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2025 เมื่อ 01:02
|